อุตสาหกรรมหนังสือไทยกำลังเผชิญกับปัญหาที่โครงสร้างเดิมไม่สามารถแก้ไขได้
ช่องว่างทางกฎหมาย: กฎหมายหลักที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันคือ พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 ซึ่งขาดบทบัญญัติที่ตอบสนองต่อบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไป ไม่มีบทบัญญัติการส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านที่ชัดเจน จึงไม่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมให้ทันโลกยุคใหม่
ระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่อ่อนแอ: ธุรกิจร้านหนังสือเครือข่ายขนาดใหญ่ มีบทบาทควบรวมทั้งเป็นสำนักพิมพ์ ร้านค้า และผู้จัดจำหน่าย ส่งผลกระทบต่อร้านหนังสืออิสระและสำนักพิมพ์รายย่อย ไม่สามารถแข่งขันได้ ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการไทยล้มหายตายจาก
วิชาชีพที่ขาดความมั่นคง: นักเขียนและบุคลากรสร้างสรรค์ส่วนใหญ่ไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงชีพได้เพียงอย่างเดียว ทำให้ขาดการผลิตผลงานที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
เราเสนอให้มีการจัดตั้ง "คณะกรรมการหนังสือและสิ่งพิมพ์แห่งชาติ" เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดทิศทางและแก้ปัญหาของอุตสาหกรรมหนังสือและสิ่งพิมพ์ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ขาดนักเขียนคุณภาพ การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของร้านหนังสือ วัฒนธรรมการอ่านไม่เติบโต
จัดตั้ง “คณะกรรมการหนังสือและสิ่งพิมพ์แห่งชาติ” เป็นแกนหลักในการออกแบบนโยบาย ยุทธศาสตร์ แผนงานในการพัฒนาอุตสาหกรรมหนังสือร่วมกับภาครัฐ
จำนวนและสัดส่วน: 15 คน (รัฐ 4 คน เอกชน/ผู้ทรงคุณวุฒิ 11 คน) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เป็นประธาน
หน้าที่ของคณะกรรมการ
จัดทำนโยบาย แผน และยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมหนังสือ และสิ่งพิมพ์ของประเทศ และดำเนินแผนงานเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมหนังสือ ภายใต้งบดำเนินงาน 100 ล้านบาท/ปี
จัดทำและพัฒนาระบบฐานข้อมูลอุตสาหกรรมหนังสือและสิ่งพิมพ์ของประเทศ ให้เป็นศูนย์กลางข้อมูลเชิงสถิติ
ประสานงานกับหน่วยงานรัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมหนังสือและสิ่งพิมพ์กับต่างประเทศ
กำหนดมาตรการเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ประพันธ์ ผู้แปล บรรณาธิการ และผู้ออกแบบศิลปกรรม ในการแสดงออกด้านศิลปะ วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์
บริหารกองทุนหนังสือและสิ่งพิมพ์แห่งชาติ ให้เป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมหนังสือและสิ่งพิมพ์ โดยมีงบประมาณกองทุนปีละ 100 ล้านบาท
ในคณะกรรมการฯ กำหนดให้มี “คณะอนุกรรมการห้องสมุด” แบ่งเป็น
พื้นที่จังหวัด: ให้มี คณะอนุกรรมการห้องสมุดระดับจังหวัด (จังหวัดละหนึ่งคณะ) โดยมีกรรมการคณะละ 7 คน แต่งตั้งจากผู้บริหารสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ระดับจังหวัด และผู้แทนบรรณารักษ์ห้องสมุดประชาชนระดับจังหวัด
พื้นที่กรุงเทพมหานคร: ให้มีคณะอนุกรรมการห้องสมุดกรุงเทพมหานคร กรรมการจำนวน 7 คน แต่งตั้งจากผู้อำนวยการส่วนห้องสมุดและการเรียนรู้ ผู้บริหารสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำกรุงเทพมหานคร และผู้แทนบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้
หน้าที่ของคณะอนุกรรมการห้องสมุดฯ คือจัดทำรายชื่อหนังสือที่เหมาะสมแก่การจัดซื้อเข้าห้องสมุดทั่วประเทศ คราวละ 6 เดือน เสนอต่อกรมส่งเสริมการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กทม. ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารห้องสมุดทั่วประเทศ ให้พิจารณาจัดซื้อหนังสือตามที่เสนอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านให้เข้มแข็งมากขึ้น