ส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

ส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

  1. กองทัพไทยใช้แรงงานเข้มข้นแต่ขาดเทคโนโลยี: งบประมาณประจำปีของกระทรวงกลาโหมกว่า 2 แสนล้านบาท หมดไปกับค่าบุคลากรสูงถึง 53% ในขณะที่งบวิจัยเทคโนโลยีมีเพียง 0.6% ทำให้เรามีกองทัพขนาดใหญ่แต่ยุทโธปกรณ์ล้าสมัยและมีภาระค่าซ่อมบำรุงมหาศาล

  2. ขาดการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ: ที่ผ่านมาการซื้ออาวุธเป็นการจ่ายเงินออกนอกประเทศเกือบทั้งหมด ทั้งที่กองทัพมีแผนลงทุนยุทโธปกรณ์ใหม่มูลค่ากว่า 1.7 แสนล้านบาท (ระหว่างปี 2566-2580) การลงทุนในยุทโธปกรณ์เหล่านี้จึงไม่ควรคิดแบบแยกส่วน แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ที่จะก่อให้เกิดการจ้างงานทักษะสูงและยกระดับรายได้ของประเทศ

  3. ศักยภาพเอกชนไทยที่ถูกมองข้าม: ไทยมีบริษัทเอกชนที่ส่งออกรถหุ้มเกราะไปแล้วกว่า 46 ประเทศ และมีผู้ประกอบการอย่างน้อย 8 รายที่มีประสบการณ์ต่อเรือภายในประเทศและสามารถดูแลเรือขนาดใหญ่ได้ถึง 1.8 แสนตัน แต่ขาดนโยบายสนับสนุนให้คนไทยได้ "ผลิตให้กองทัพไทย" หรือส่งออกต่างประเทศได้ อย่างเป็นระบบ

 

เราจะทำอะไร (WHAT)

เรามุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ มีเป้าหมายหลักคือการพึ่งพาตนเอง การวิจัยและผลิตยุทโธปกรณ์ เพื่อสนับสนุนความพร้อมรบของกองทัพ และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย 

1. ปรับงบประมาณ เน้นเทคโนโลยีแทนการใช้คน

  • เปลี่ยนการจัดสรรงบประมาณกองทัพจากการเน้น "จ้างบุคลากร"  ไปเป็นการ ลงทุนในเทคโนโลยีและยุทโธปกรณ์ ที่ทันสมัยมากขึ้น เพื่อลดการซื้ออาวุธจากต่างประเทศและสร้าง "อธิปไตยทางเทคโนโลยี" ให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

2. เปลี่ยนรายจ่ายเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ

  • ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้มีขีดความสามารถทางการผลิตและเทคโนโลยี เพื่อผลิตนวัตกรรมที่ใช้ได้ทั้งในกองทัพและธุรกิจทั่วไป (Dual-use) เช่น โดรนสำรวจ แบตเตอรี่คุณภาพสูง และระบบดาวเทียม ที่สามารถขยายตลาดส่งออกไปทั่วโลก

3. เลือกยุทโธปกรณ์เป้าหมาย 

รัฐจะเลือกสนับสนุนการผลิตยุทโธปกรณ์ที่มีองค์ประกอบ 3 ด้าน (Triple Criteria)

  • ด้านยุทธศาสตร์: ต้องเป็นสิ่งที่กองทัพจำเป็นต้องใช้และป้องกันภัยคุกคามได้จริง

  • ด้านศักยภาพ: ต้องเป็นสิ่งที่ภาครัฐและเอกชนไทยเก่งหรือมีพื้นฐานที่จะพัฒนาต่อยอดได้เอง

  • ด้านการตลาด: ต้องเป็นสิ่งที่ตลาดโลกต้องการ เพื่อให้คุ้มค่าต่อการลงทุนวิจัยและพัฒนาในระยะยาว

 

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

1. สนับสนุนสินค้าไทย: "ซื้อของไทยก่อน" และให้แต้มต่อผู้ผลิต

  • กำหนดให้กองทัพต้องจัดซื้อยุทโธปกรณ์จากผู้ผลิตในประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของงบประมาณ หากผลิตภัณฑ์นั้นได้รับการขึ้นทะเบียนใน “บัญชีนวัตกรรมไทย” และได้รับการรับรองมาตรฐานจากกระทรวงกลาโหม

  • ในการประมูลงานรัฐ ถ้าเป็นสินค้าที่ผลิตในไทย (Made in Thailand) รัฐจะอนุญาตให้เสนอราคาสูงกว่าของต่างชาติได้ จากเดิม 5% เป็น 10% 

  • มีการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อจูงใจให้เกิดการเรียนรู้ เช่น การจัดทำ consortium รวบรวมผู้ประกอบการไทยผลิตชิ้นส่วนของเรือฟริเกตภายในประเทศ โดยมีเงื่อนไขสำคัญ เช่น การสร้างตำแหน่งงานใหม่ การใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (local content requirement) และการพัฒนาจนสามารถส่งออกได้ในระยะเวลาที่กำหนด

2. นโยบายชดเชย (Offset Policy): ซื้อของนอก ต้องได้ความรู้กลับมา

  • หากจำเป็นต้องซื้ออาวุธเทคโนโลยีสูงจากต่างชาติ รัฐจะบังคับใช้ "นโยบายชดเชยภาคบังคับ" (Mandatory Offset Policy) เพื่อให้ผู้ขายต่างชาติต้องถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือร่วมผลิตในประเทศไทย หรือฝึกอบรมบุคลากรไทย เพื่อให้เราไม่เพียงแต่ซื้อมาใช้ แต่ต้อง "สร้างเองเป็น" ในอนาคต

3. ปฏิรูปกฎหมายและภาษี: ลดอุปสรรคให้ค้าขายคล่อง

  • ทบทวนอัตราภาษี เช่น ไม่ปล่อยให้การนำเข้าวัตถุดิบ (เช่น เหล็ก) แพงกว่านำเข้าสินค้าสำเร็จรูป ทบทวนการหนุนหลังภาษีที่จูงใจให้ซื้อเรือเก่าจากต่างประเทศ ซึ่งจะลดอุปสงค์การต่อเรือใหม่ในประเทศ 

  • แก้ไขกฎหมาย เช่น พ.ร.บ. โรงงานผลิตอาวุธของเอกชน ให้เอกชนขออนุญาตส่งออกได้รวดเร็วขึ้น และผลักดันกฎหมายมาตรฐานยุทโธปกรณ์ เพื่อสร้างกรอบทางกฎหมายในการรับรองคุณภาพให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล (MIL-STD หรือ NATO STANAG) 

4. ลงทุนวิจัยและหนุนเงินทุน: สร้างนวัตกรรมด้วย "เงินกู้นโยบาย"

  • รัฐจะเน้นวิจัยเทคโนโลยีต้นน้ำที่ความเสี่ยงสูงแทนเอกชน (โมเดล DARPA) ก่อนจะเผยแพร่งานวิจัยให้เอกชนนำไปพัฒนาต่อยอด 

  • ให้แรงจูงใจทางภาษีแก่บริษัทที่ลงทุนวิจัยเอง (private R&D) 

  • มี "เงินกู้นโยบาย" (Policy Loan) เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องและมีเงินลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ โดยสามารถใช้ "สัญญาจ้างจากรัฐ" มาเป็นหลักประกันการกู้เงินได้

5. ปฏิรูปเชิงระบบ: รวมศูนย์การจัดซื้อและดันการส่งออก

  • รวมศูนย์การจัดหายุทโธปกรณ์ไว้ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อคุมนโยบายให้เป็นไปตามแผน และเชื่อมโยงแผนพัฒนากองทัพเข้ากับแผนพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ 

    • ยึดโมเดลของเกาหลีใต้ ซึ่งมีหน่วยงานชื่อ Korea Institute for Defense Analyses (KIDA) เป็นหน่วยวิเคราะห์ภาพอนาคตด้านความมั่นคง รายงานของ KIDA จะถูกส่งต่อไปให้สมาคมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเกาหลี (Korea Defense Industry Association) รวมถึงหน่วยงานที่ดูแลด้านการทำมาตรการชดเชย (offset policy) เพื่อกำหนดรายละเอียดเทคโนโลยีที่ต้องการถ่ายทอด

  • จัดตั้ง คณะกรรมการส่งเสริมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศกับต่างประเทศ (TEAM THAILAND) บูรณาการทุกหน่วยงาน รวมถึงทูตทหาร ให้ช่วยกันบุกเบิกตลาดและส่งออก"Brand Thailand" ไปยังต่างประเทศ

  • ทบทวนบทบาทและพัฒนาขีดความสามารถของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศให้สามารถแสดงบทบาทสนับสนุนเทคโนโลยีได้แบบ DARPA ของสหรัฐอเมริกา