ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ “ยุคการค้าที่แข่งกันด้วยความเร็วและความแน่นอน” ไม่ใช่แค่ราคา เพราะการค้าและการขนส่งคือเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจ:
• ความล่าช้าคือต้นทุนของประเทศ: ปี 2567 ไทยส่งออกราว 10.5 ล้านล้านบาท และการค้าชายแดน-ผ่านแดนมีมูลค่าสูงถึง 1.815 ล้านล้านบาท แต่ระบบปัจจุบันยังมี "คอขวด" ที่ทำให้รถค้าง ของค้าง ส่งผลให้ต้นทุนโลจิสติกส์พุ่งสูงถึง 13.5% ของ GDP (ประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท) ซึ่งท้ายที่สุดถูกผลักเป็นราคาสินค้าและค่าครองชีพประชาชน
• คอขวดหน้าด่าน: ปัจจุบันเราสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจแบบวันต่อวันจากสภาวะคั่งค้างของรถและสินค้า ความไม่แน่นอนของเวลาทำให้ต้นทุนดำเนินงานสูงขึ้น
• ปัญหาการวิ่งรถเที่ยวเปล่า (Empty Backhaul): รถจำนวนมากไม่มีงานขากลับ ทำให้ต้นทุนต่อเที่ยวสูงและประสิทธิภาพการใช้รถต่ำ
• ความเหลื่อมล้ำในการแข่งขัน: กฎเกณฑ์ระหว่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกันทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบเชิงแข่งขัน ต้นทุนเหล่านี้ถูกผลักไปเป็นราคาสินค้าและค่าครองชีพประชาชน โดยภาพรวมประเทศมีต้นทุนโลจิสติกส์สูงถึง 13.5% ของ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
ดังนั้น เราจึงต้องยกเครื่องระบบเพื่อตอบโจทย์ 3 ด้าน: ความเร็วและความแน่นอน (Speed & Certainty), การลดต้นทุนจริง (Cost Reduction) และ การแข่งขันที่เป็นธรรม (Fair Access)
เราจะยกเครื่องระบบให้ “สินค้าเดินได้จริง” รวดเร็ว คาดการณ์ได้ และโปร่งใส ผ่าน 3 มาตรการหลัก:
1. การกำหนดมาตรฐานด่านและท่าเรือบก (Border Gateway & Land Port Standardization Package): ด่านต้องเป็นประตูเศรษฐกิจ รถไม่ค้าง ของไม่ค้าง
2. การบูรณาการกฎกติกาและระบบขนส่งต่อเนื่อง (Seamless Transit & Multimodal Integration Package): ผ่านแดนมาตรฐานเดียว เอกสารไม่ซ้ำ เส้นทางลื่น
3. แพลตฟอร์มเที่ยวกลับอัจฉริยะและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้รถ (Backhaul Platform & Fleet Utilization Enhancement): ลดเที่ยวเปล่า ลดต้นทุน เพิ่มงานให้ผู้ประกอบการ
1. มาตรการยกระดับด่านและศูนย์โลจิสติกส์ชายแดน (Border Gateway Package)
• จุดเดียวจบ (One Stop Border Post - OSBP): ยกระดับด่านเป็น ท่าเรือบก (Land Port) ที่ตรวจและปล่อยสินค้าร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดการตรวจซ้ำ พร้อมระบบคิวและลานพักรถมาตรฐาน
• ช่องทางด่วนสินค้าเกษตร (Green Lane): สำหรับ รถควบคุมอุณหภูมิ (Reefer) ใช้การ ส่งข้อมูลล่วงหน้า (Pre-Arrival Clearance) และ เอกสารรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (e-Form D)
• ย้ายงานที่ล่าช้าไปไว้หลังด่าน (Off-Border Node): จัดตั้ง สถานีขนส่งสินค้าคอนเทนเนอร์ในประเทศ (Inland Container Depot - ICD) และคลังเย็นในรูปแบบ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership - PPP) เพื่อย้ายงานที่ล่าช้าออกจากหน้าด่าน
• ความโปร่งใสและดิจิทัล: ใช้ระบบ การประเมินความเสี่ยงออนไลน์ (Online Risk Assessment) เพื่อลดดุลพินิจบุคคล และติดตั้ง เครื่องเอกซเรย์แบบขับผ่าน (Drive-through X-ray) พร้อมเก็บบันทึกข้อมูลดิจิทัลและแสดงผลผ่าน แผงควบคุมข้อมูล (Dashboard) ให้ตรวจสอบได้
2. บูรณาการกติกาและระบบผ่านแดนไร้พรมแดน (Seamless Transit Package)
• การผ่านแดนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Transit): ปลดล็อก ความตกลงการขนส่งข้ามแดน (Cross-Border Transport Agreement - CBTA) และ ระบบผ่านแดนศุลกากรอาเซียน (ASEAN Customs Transit System - ACTS) ภายใต้หลักการ ยื่นข้อมูลครั้งเดียว (Single Declaration) และ วางประกันครั้งเดียว (Single Guarantee)
• กติกาผ่านแดนชุดเดียว (One Transit Rulebook): สำหรับเส้นทางนำร่อง ปรับคู่มือและขั้นตอนหน้างานให้ใช้ได้จริง พร้อมทำข้อตกลงรายด่านกับประเทศคู่ค้าเพื่อยอมรับตัวชี้วัดความสำเร็จร่วมกัน
• โปรแกรมขนส่งสินค้าทางราง (Rail Freight Program): พัฒนากติกาผ่านแดนทางรางไทย-ลาว-จีน กำหนดตารางเดินรถและค่าระวางที่แน่นอน เพื่อให้ผู้ส่งออกวางแผนได้จริง
3. แพลตฟอร์มเที่ยวกลับเพื่อลดต้นทุน (Backhaul Platform & Fleet Enhancement)
• แพลตฟอร์มจับคู่งานขากลับ (Backhaul Matching Platform): เชื่อมโยงผู้ส่งของและผู้ขนส่งเข้ากับศูนย์กระจายสินค้าและโหนดหลังด่าน
• โมเดลการสลับตู้ (Swap Model): เริ่มจากการ สลับตู้คอนเทนเนอร์ (Container Swap) และขยายสู่การ สลับโครงรถพ่วง (Chassis Swap) เพื่อลด การยกตู้ซ้ำซ้อน (Double Handling)
กรอบระยะเวลาและงบประมาณ
• ระยะที่ 1 (2-3 ปีแรก): งบประมาณ 300–500 ล้านบาท เน้นระบบคิวดิจิทัลและการปลดล็อกกฎระเบียบ (ใช้งบน้อยแต่ผลกระทบสูง)
• ระยะที่ 2: ยกระดับด่านยุทธศาสตร์เป็นท่าเรือบก 3–5 แห่ง (งบประมาณ 500–1,500 ล้านบาทต่อด่าน) เน้นดึงเอกชนร่วมลงทุนเพื่อลดภาระงบประมาณรัฐ