ระบบขนส่งสาธารณะไม่ใช่แค่เรื่องการเดินทาง แต่คือโครงสร้างพื้นฐานที่ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ทว่าปัจจุบันรัฐไทยยังให้ความสำคัญน้อยเกินไป จนเกิดปัญหาเรื้อรังดังนี้:
• ภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือนสูง: ข้อมูลสถิติระบุว่าค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทางของครัวเรือนไทยสูงถึง 20% ของรายจ่ายทั้งหมด เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (OECD) ที่มีค่าเฉลี่ยเพียง 13%
• วิกฤตสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ: ภาคการขนส่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 29% ของปริมาณทั้งหมด (อันดับ 2 รองจากภาคพลังงาน) โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร รถยนต์สันดาปปล่อยฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) สูงถึง 65% ของปริมาณฝุ่นทั้งหมด
• ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ: ข้อมูลปี 2566 ระบุว่าคนกรุงเทพฯ ต้องเสียโอกาสด้านเวลาและค่าใช้จ่ายพลังงานจากปัญหาจราจรติดขัดคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านบาทต่อปี และ 6,000 ล้านบาทต่อปี ตามลำดับ
• ขาดการเชื่อมต่อ: เส้นทางเดินรถในปัจจุบันไม่ตรงเวลา ไม่ทั่วถึง และไม่เชื่อมโยงระหว่างตำบลต่อตำบล หรืออำเภอต่ออำเภอ ทำให้ประชาชนขาดทางเลือกและต้องพึ่งพารถส่วนตัวเป็นหลัก
เรามุ่งมั่นสร้างระบบขนส่งสาธารณะที่ "ท้องถิ่นเป็นเจ้าของ ประชาชนเป็นคนเลือก" โดยการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจตาม พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น:
1. ท้องถิ่นระดับพื้นฐาน (เทศบาล และ อบต.): เป็นเจ้าของอำนาจหลักในการออกใบอนุญาต ออกแบบเส้นทาง และจัดหาผู้ให้บริการในพื้นที่ตนเอง
2. องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.): รับผิดชอบโครงข่ายขนส่งที่เชื่อมโยงระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภายในจังหวัด
3. รัฐบาลส่วนกลาง: รับผิดชอบเฉพาะการขนส่งเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค (โครงข่ายหลัก)
ภายใต้โครงสร้างนี้ ท้องถิ่นจะมีอิสระในการเลือกรูปแบบการให้บริการที่เหมาะสมกับพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น รถสองแถว, รถเมล์, หรือรถตู้ และเลือกวิธีดำเนินงานได้ทั้งแบบ ท้องถิ่นทำเอง, ให้สัมปทานเอกชน, หรือจ้างเอกชนวิ่งรถ เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบโดยตรงต่อประชาชนในพื้นที่
1. อุดหนุนงบประมาณและทรัพยากร:
• จัดสรรงบประมาณอุดหนุนเฉพาะกิจปีละประมาณ 37,000 ล้านบาท ต่อเนื่องตลอด 8 ปี เพื่อศึกษาและพัฒนาระบบขนส่งเชิงพื้นที่
• ถ่ายโอนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น และลงทุนในเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เช่น ข้อมูลสถิติการเดินทางผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Network Data Analytics) เพื่อออกแบบเส้นทางให้แม่นยำ
2. สนับสนุนการร่วมมือกับเอกชน (Public-Private Partnership - PPP):
• รัฐไม่ต้องลงทุนซื้อรถเองทั้งหมด แต่สนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการขนส่งรายใหม่ในพื้นที่ สร้างการจ้างงานและดึงศักยภาพการบริหารจัดการของเอกชนมาใช้พัฒนาท้องถิ่น
3. สร้างอุตสาหกรรมไทยด้วยรถเมล์ไฟฟ้า (EV Bus Ecosystem):
• การจัดซื้อจัดจ้างต้องเอื้อให้เกิดห่วงโซ่อุปทาน รถโดยสารไฟฟ้า (Electric Vehicle Bus - EV Bus) ของคนไทย ตั้งแต่โรงประกอบ, การผลิตชิ้นส่วน, สถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station), ไปจนถึงระบบบริหารจัดการเดินรถ
• บูรณาการความร่วมมือข้ามกระทรวง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงแรงงาน และ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน