สู้สินค้าทะลัก-ตัดราคา-ไม่เป็นธรรม: ปกป้องอุตสาหกรรมและ SMEs ไทย

สู้สินค้าทะลัก-ตัดราคา-ไม่เป็นธรรม: ปกป้องอุตสาหกรรมและ SMEs ไทย

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

• วิกฤตการขาดดุลการค้าพุ่งสูง: ไทยขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นจาก 1.3 ล้านล้านบาทในปี 2566 เป็น 1.6 ล้านล้านบาทในปี 2567 (เพิ่มขึ้น 25%) ผู้ผลิตไทยสู้ต้นทุนไม่ได้ เสี่ยงต่อการถูกทุ่มตลาด (Dumping) และการอุดหนุนจากรัฐบาลต่างประเทศ รวมถึงปัญหาทุนเทาที่ใช้นอมินีมาตั้งราคาต่ำเพื่อฟอกเงิน

• กระทบภาคการผลิตและโรงงานปิดตัว: ตั้งแต่ปี 2565 การบริโภคในไทยเพิ่มขึ้นแต่การผลิตกลับลดลง เพราะผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้านำเข้าราคาต่ำที่ทะลักเข้ามา หากปล่อยไว้ภาคการผลิตจะยิ่งแย่และเกิดการเลิกจ้างงานจำนวนมาก

• ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics): สงครามการค้าและการกีดกันทางการค้าจากประเทศมหาอำนาจ บีบให้สินค้าราคาต่ำจากทั่วโลกต้องหาตลาดใหม่ ซึ่งไทยเป็นเป้าหมายหลัก

 

พรรคประชาชนจะทำอะไร (WHAT)

ภายใต้กติกาการค้าระหว่างประเทศ รัฐบาลต้องใช้เครื่องมือที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด:

1. เครื่องมือปกป้องทางการค้า:

• มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping - AD): เก็บอากรเพิ่มกับสินค้าที่ขายต่ำกว่ามูลค่าปกติ

• มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty - CVD): เก็บอากรเพิ่มกับสินค้าที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลต่างประเทศ

• มาตรการปกป้อง (Safeguards - SG): ใช้ชั่วคราวเมื่อมีการนำเข้าพุ่งสูงผิดปกติเพื่อให้ธุรกิจไทยปรับตัว

• มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยง (Anti-Circumvention - AC): อุดช่องโหว่ไม่ให้ผู้ส่งออกเลี่ยงอากรผ่านประเทศที่สาม

2. ปัญหาที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน:

• การใช้มาตรการน้อยเกินไป: ปัจจุบันกระจุกตัวแค่สินค้าเหล็ก ในขณะที่ต่างประเทศใช้มาตรการกับหลากหลายอุตสาหกรรม การใช้มาตรการน้อย ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่มีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอื่นๆ จำนวนมากที่ได้รับผลกระทบ

• ระยะเวลาพิจารณานานเกินไป: เช่น ปัจจุบันขั้นตอน AD ใช้เวลาเกือบ 2 ปี ทำให้ผู้ผลิตถอดใจ

• อุปสรรคสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs): เงื่อนไขการรวมกลุ่มต้องเกิน 50% ของตลาด และมีเสียงสนับสนุนต้องไม่น้อยกว่า 25% ของกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งกระบวนการมีขั้นตอน เอกสาร ภาระต้นทุนสูงเกินกว่าที่ SMEs ที่รับภาระจริงจะแบกรับได้

 

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

1. กระบวนการช่องทางด่วน (Fast Track) และการปรับเกณฑ์

ปรับปรุงกระบวนการยื่นคำร้องมาตรการตอบโต้ทางการค้า (AD/CVD/SG/AC) ให้รวดเร็วขึ้นอย่างน้อย 40% เพื่อช่วยอุตสาหกรรมไทยให้ทันท่วงที:

• ขั้นตอนเตรียมตัวและเอกสาร: ลดจาก 6 เดือน เหลือ 3 เดือน

• กระบวนการพิจารณาคำขอ: ลดจาก 3 เดือน เหลือ 1 เดือน

• การไต่สวนจนถึงการเก็บอากร: ลดจาก 12 เดือน เหลือ 9 เดือน (ขยายเวลาได้ไม่เกิน 6 เดือนตามกฎหมาย)

• การปรับเกณฑ์: แก้ไขระเบียบให้ทันสมัยตามแนวทางของ องค์การการค้าโลก (World Trade Organization - WTO) โดยไม่สร้างภาระด้านเอกสารที่เกินความจำเป็น

2. การตั้งทีมพี่เลี้ยง (Mentor) และการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

• ทีมพี่เลี้ยงเชิงรุก: จัดตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงพาณิชย์เพื่อช่วยจัดเตรียมข้อมูลและอำนวยความสะดวกในการยื่นคำร้อง

• เป้าหมายการเข้าถึง: เพิ่มอัตราความสำเร็จในการยื่นคำร้องจากเดิม 1 ใน 100 ราย ให้เป็น 10 ใน 100 ราย (เพิ่มขึ้น 10 เท่า) และตั้งเป้าให้การไต่สวนเสร็จสิ้นไม่น้อยกว่า 50% ของเคสทั้งหมด

3. การบูรณาการข้อมูลและเทคโนโลยีเฝ้าระวัง

• แผงข้อมูลกลาง (Central Dashboard): เชื่อมโยงข้อมูลการนำเข้า ราคา และการจ้างงานจากทุกหน่วยงาน เพื่อให้เห็นจุดเสี่ยงแบบ ตามเวลาจริง (Real-time)

• การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence - AI):

• วิเคราะห์การนำเข้าที่พุ่งสูงผิดปกติและราคาสินค้าที่ต่ำกว่าตลาดโลก

• ออกรายการตรวจสอบ (Checklist) และประกาศ รายการเฝ้าสังเกต (Watch List) โดยเน้นเกณฑ์ตัวเลขเพื่อลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่

• เชื่อมต่อฐานข้อมูลเพื่อตรวจสอบ ตัวแทนอำพราง (Nominee) และทุนเทาที่อยู่เบื้องหลังสินค้าผิดกฎหมาย

4. บทบาทเชิงรุกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

• กรมทรัพย์สินทางปัญญา (DIP): แก้ไข พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า ให้กรมฯ มีอำนาจสั่งการแพลตฟอร์มออนไลน์ได้โดยตรง

• กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD): เปลี่ยนจากผู้ขายข้อมูลเป็น "ผู้สร้างระบบนิเวศข้อมูล" เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินและเครือข่ายธุรกิจที่ทำผิดซ้ำซาก

• สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA): กำกับดูแลให้แพลตฟอร์มออนไลน์ต้องเชื่อมต่อระบบและรับผิดชอบลบสินค้าผิดกฎหมายทันที

• กรมศุลกากร: ตรวจสอบย้อนกลับไปยังผู้นำเข้าและชิปปิ้ง (Shipping) รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

• หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย (ปคบ./DSI/ปปง.): รับข้อมูลจาก Dashboard เพื่อวางแผนจับกุม สกัดเส้นทางการเงิน และอายัดทรัพย์สิน

5. ความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มออนไลน์และกรอบเวลา (SLA)

• ร่วมรับผิดชอบ: แพลตฟอร์มต้องเชื่อมต่อระบบกับหน่วยงานมาตรฐาน (เช่น อย./สมอ.) หากเพิกเฉยต่อการแจ้งเตือนสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ให้ถือเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดและเพิ่มโทษให้สูงขึ้น

• ข้อตกลงระดับการให้บริการ (Service Level Agreement - SLA):

• แพลตฟอร์ม: ต้องปิดเคสและจัดการสินค้าผิดกฎหมายภายใน 7 วัน

• หน่วยงานรัฐ: ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน

• หน่วยสุ่มตรวจ: จัดตั้งหน่วยงานตรวจสอบซ้ำ (Double Check) เพื่อให้มั่นใจว่าปัญหาได้รับการแก้ไขจริง ไม่ใช่เพียงการปิดเคสในระบบ

6. การเพิ่มทรัพยากรและงบประมาณ

• เพิ่มอัตรากำลัง: เพิ่มเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ และบัญชีต้นทุนอย่างน้อย 20 อัตรา เพื่อลดภาระงานและเพิ่มความรวดเร็ว

• ปฏิรูปงบประมาณ: ปรับการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพื่อการปกป้องทางการค้า จากเดิม 0.5% เพิ่มเป็น 10% เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ