ศาสนาพุทธนับเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทย โดยมีประชากรที่นับถือศาสนาพุทธกว่า 94% หรือประมาณ 57 ล้านคน และยังถือเป็น 1 ใน 3 สถาบันหลักของชาติ รัฐธรรมนูญไทยได้บัญญัติให้รัฐต้องอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา (ซึ่งในทางปฏิบัติหมายถึงนิกายเถรวาท) รวมถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางศรัทธาที่มั่งคง ปัญหาเรื่องการบริหารจัดการทรัพย์สินและความโปร่งใสในวัดยังคงเป็นประเด็นท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไข
สถานการณ์ปัจจุบันบ่งชี้ถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการวัด ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้:
มูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล: จากผลสำรวจในปี 2561 พบว่าชาวพุทธบริจาคเงินเฉลี่ย 827 บาทต่อคนต่อปี เมื่อคำนวณตามสัดส่วนประชากร พบว่ามีเม็ดเงินหมุนเวียนจากการบริจาคเข้าสู่วัดสูงถึงประมาณ 54,000 ล้านบาทต่อปี
การขยายตัวของศาสนสถาน: ปัจจุบันมีวัดกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 45,000 แห่ง วัดเหล่านี้มีความผูกพันกับวิถีชีวิตประชาชนตั้งแต่เกิดจนตาย บางแห่งพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้มหาศาล ส่งผลให้จำนวนวัดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โครงสร้างอำนาจแบบรวมศูนย์:
ในทางกฎหมาย "วัด" มีสถานะเป็นนิติบุคคลตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 72 (2) และได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มาตรา 36 กำหนดให้ "เจ้าอาวาส" เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนวัดในฐานะนิติบุคคลเพียงผู้เดียว
แม้บางวัดจะมี "ไวยาวัจกร" ช่วยดูแล แต่ตำแหน่งนี้มาจากการแต่งตั้งโดยเจ้าอาวาส ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมี และขาดระเบียบรองรับเรื่องคุณสมบัติหรือขอบเขตอำนาจที่ชัดเจน ทำให้ระบบตรวจสอบภายในขาดประสิทธิภาพ
มาตรการปัจจุบันยังไม่สัมฤทธิ์ผล: แม้จะมีการออกมติมหาเถรสมาคมในปี 2568 ได้แก่ มติที่ 402/2568 เรื่องนโยบายการบริหารศาสนสมบัติ (ส่งเสริมระบบบัญชีและ e-donation) และ มติที่ 495/2568 เรื่องแนวปฏิบัติการเปิดบัญชีเงินฝาก แต่ในทางปฏิบัติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยอมรับว่ายังมีปัญหาด้านประสิทธิภาพ ไม่สามารถผลักดันให้ทุกวัดเข้าสู่ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-donation) หรือจัดทำบัญชีตามมาตรฐานได้ครบถ้วน
การจัดสรรงบประมาณที่ขาดเป้าหมายเชิงธรรมาภิบาล: การสนับสนุนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มักมุ่งเน้นการปรับปรุงกายภาพ (สิ่งปลูกสร้าง) มากกว่าการสร้างระบบความโปร่งใส ซึ่งการจัดสรรงบประมาณลักษณะนี้มักเกิดข้อกังขาเรื่องความไม่ทั่วถึงและความเหมาะสม นำไปสู่ข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับเงินทอนวัดหรือการจัดการศาสนสมบัติที่ไม่โปร่งใส สร้างความเสียหายต่อศรัทธาของประชาชน
เพื่อสร้างธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นจริง พรรคประชาชนมีข้อเสนอดังนี้:
แยกอำนาจบริหารและการเงิน: แก้ไขโครงสร้างให้ทุกวัดต้องมี "คณะกรรมการวัด" ทำหน้าที่บริหารจัดการศาสนสมบัติและทรัพย์สิน โดยกำหนดให้ "ไวยาวัจกร" เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนวัดในฐานะนิติบุคคล (ในเรื่องทรัพย์สิน) แทนเจ้าอาวาส เพื่อให้พระภิกษุสามารถปฏิบัติกิจของสงฆ์และปกครองสงฆ์ได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการบริหารเงิน
กำหนดมาตรฐานบุคลากร: กำหนดคุณสมบัติของคณะกรรมการวัดและไวยาวัจกรให้ชัดเจน โดยเน้นที่มาที่หลากหลายและการมีส่วนร่วมจากชุมชนและท้องถิ่น จำนวนกรรมการต้องสอดคล้องกับขนาดของวัด
วางระบบฐานข้อมูลการเงินดิจิทัล (Digital Financial System):
ผลักดันให้ทุกวัดเข้าสู่ระบบ e-donation อย่างสมบูรณ์และได้มาตรฐาน
สร้างระบบบัญชีมาตรฐานสำหรับวัด โดยรัฐอุดหนุนงบประมาณหรือเครื่องมือให้แก่วัดขนาดเล็กให้สามารถทำบัญชีได้
สร้างกลไก "พี่ช่วยน้อง" ให้วัดที่มีทรัพยากรเพียงพอช่วยเหลือวัดขนาดเล็กในด้านการทำบัญชี พร้อมทั้งวางระบบการตรวจสอบบัญชีที่มีประสิทธิภาพ
การขับเคลื่อนนโยบายต้องอาศัยการแก้ไขกฎหมายและระเบียบในหลายระดับ ดังนี้:
การแก้ไขกฎหมายหลัก: เสนอแก้ไข พ.ร.บ. คณะสงฆ์ โดยเฉพาะมาตรา 31 (และมาตราที่เกี่ยวข้องกับอำนาจเจ้าอาวาส) เพื่อกระจายอำนาจการกระทำการแทนวัดในฐานะนิติบุคคลด้านทรัพย์สิน ไปสู่ไวยาวัจกรหรือคณะกรรมการวัด
การแก้ไขระเบียบระดับรอง: ปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ระเบียบกรมการศาสนา ว่าด้วยการจ่ายเงินผลประโยชน์ของวัด พ.ศ. 2498 ให้สอดคล้องกับโครงสร้างใหม่
การประสานความร่วมมือกับองค์กรสงฆ์: ปรึกษาหารือร่วมกับ มหาเถรสมาคม เพื่อเสนอแก้ไขกฎระเบียบภายในของคณะสงฆ์ ได้แก่:
กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2536) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนไวยาวัจกร โดยระบุคำจำกัดความ คุณสมบัติ กระบวนการแต่งตั้ง และการถอดถอนให้รัดกุมและตรวจสอบได้
ระเบียบมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการจัดงานวัด พ.ศ. 2537 เพื่อให้การจัดหารายได้ของวัดมีความโปร่งใส