กับดักงบประมาณรายหัว: การจัดสรรงบประมาณแบบ "รายหัวนักเรียน" ทำให้โรงเรียนขนาดเล็ก (นักเรียนน้อยกว่า 120 คน) ได้รับงบน้อยเกินกว่าจะบริหารจัดการขั้นพื้นฐานได้ (เช่น ค่าไฟ, ซ่อมแซมอาคาร, สื่อการสอน)
วิกฤตครูไม่ครบชั้น: เกณฑ์การจัดสรรครูที่ยึดตามจำนวนนักเรียน ทำให้โรงเรียนเหล่านี้มีครูเพียงไม่กี่คน ไม่เพียงพอที่จะสอนครบทุกวิชาหรือทุกระดับชั้น
การควบรวมที่ขาดมาตรการรองรับ: การควบรวมโรงเรียนที่ผ่านมามักทำได้ช้าและเผชิญแรงต้าน เพราะขาดการมีส่วนร่วมจากชุมชน และขาดสวัสดิการรองรับภาระค่าเดินทางที่เพิ่มขึ้นของผู้ปกครอง
เราจะเดินหน้าทำให้นักเรียนทุกคนเข้าถึง “โรงเรียนคุณภาพใกล้บ้าน” โดยการบริหารจัดการปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก เปลี่ยนวิธีคิดจากการ "บีบให้ยุบ" เป็นการ "วิเคราะห์ตามความจำเป็นและสนับสนุนอย่างตรงจุด"
คัดกรองโรงเรียนด้วยระยะทาง (Protected Schools)
กำหนดเป้าหมายจำนวนโรงเรียนทั่วประเทศให้ชัดเจน และกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อจำแนกโรงเรียนขนาดเล็กที่ “ต้องไม่ควบรวม” (เช่น อยู่ห่างไกลเกิน 6-10 กิโลเมตร) กับ “ควบรวมได้หากจำเป็น” เพื่อรับประกันว่านักเรียนจะไม่ต้องเดินทางไกลเกินไปและมีที่เรียนใกล้บ้านเสมอ
ปรับสูตรจัดสรรทรัพยากรใหม่ คำนึงถึงรายหัวนักเรียนควบคู่กับขนาดของโรงเรียน เพื่อทำให้โรงเรียนขนาดเล็กเดินหน้าต่อได้โดยมีทรัพยากรเพียงพอในการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ
งบประมาณ: คำนวณจากจำนวนเงินขั้นต้นที่ต้องใช้ในการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพสำหรับสถานศึกษาแต่ละขนาด และ/หรือ ปรับสูตรการอุดหนุนเงินรายหัวให้ใช้อัตราที่ก้าวหน้า (อัตราต่อหัวสูงขึ้นสำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก)
บุคลากร: คำนวณจำนวนครูขั้นต่ำที่ต้องใช้ในการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพสำหรับสถานศึกษาแต่ละขนาด (เช่น กี่คนต่อระดับชั้นเป็นขั้นต่ำ) และ/หรือ ยุติการยุบอัตราครูเกษียณอายุราชการในโรงเรียนขนาดเล็กโดยไม่เติมอัตราครูใหม่ให้
การแบ่งปันทรัพยากร: ปลดล็อกระเบียบที่เป็นอุปสรรคหรือเพิ่มภาระทางธุรการต่อโรงเรียนขนาดเล็กในการแบ่งปันทรัพยากร (เช่น บุคลากร อาคาร-สถานที่ อุปกรณ์ของสถานศึกษา) เพื่อลดต้นทุนในการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ
ท้องถิ่นมีสิทธิขอรับไปบริหาร (Right of Refusal): หากโรงเรียนใดเข้าเกณฑ์ต้องควบรวม แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความพร้อมและต้องการบริหารเอง รัฐจะถ่ายโอนโรงเรียนและงบประมาณสนับสนุน ไปให้ท้องถิ่นบริหารจัดการต่อเพื่อรักษาโรงเรียนในชุมชนไว้
จัดสวัสดิการ "รถรับส่ง" แทนเงินค่าเดินทาง: สำหรับนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากการควบรวม รัฐจะเปลี่ยนจากเงินอุดหนุนค่าเดินทาง (ปัจจุบันอัตราค้างมาเป็นเวลากว่าสิบปี อยู่ที่ 10-20 บาท/คน/วัน ตามระยะทาง) เปลี่ยนเป็นการ "จัดหารถรับส่งนักเรียน" ที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองอย่างแท้จริง
ครอบคลุมทั้งนักเรียนปัจจุบันที่เรียนอยู่ในจังหวัดที่มีการควบรวม และนักเรียนในอนาคตที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
นำร่องให้นักเรียนได้เรียนที่โรงเรียนใหม่ พร้อมกับการสนับสนุนเรื่องการเดินทาง เพื่อสร้างความไว้วางใจก่อนเดินหน้าควบรวมโรงเรียน
เปลี่ยนอาคารที่ปิดตัวเป็น "พื้นที่ของชุมชน": โรงเรียนที่ถูกควบรวมไปแล้ว ชุมชนมีสิทธิกำหนดร่วมกับท้องถิ่นเพื่อเปลี่ยนอาคารและที่ดินให้กลายเป็นประโยชน์ด้านอื่น เช่น ศูนย์เรียนรู้ชุมชน ศูนย์ฝึกอาชีพ หรือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
อาจใช้วิธีการโอนที่ดินและอาคารให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ การทำข้อตกลงหรือ MOU กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น-ชุมชน
รัฐอาจสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงสถานที่ให้สอดรับกับวัตถุประสงค์ใหม่
จัดทำแผนให้ชัดเจน เช่น เป้าหมายจำนวนโรงเรียน การจำแนกโรงเรียนขนาดเล็กรายโรงเรียน และกรอบเวลาในการดำเนินการ
แก้ไขระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น
ปรับปรุงเกณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการเรื่องการจัดสรรงบประมาณให้โรงเรียน การคำนวณอัตรากำลังครูในแต่ละโรงเรียน การสนับสนุนเรื่องการเดินทางสำหรับนักเรียนและผู้ปกครองในโรงเรียนที่ถูกควบรวม
เกณฑ์ของกรมธนารักษ์เรื่องการใช้ประโยชน์จากที่ดินและอาคารของโรงเรียนที่ถูกควบรวม
จัดสรรงบประมาณสนับสนุนโรงเรียนขนาดเล็ก แบ่งเป็น 2 ส่วน
งบประมาณที่ต้องใช้เพิ่มเติมในการจัดสรรทรัพยากรเพื่อให้โรงเรียนขนาดเล็กที่ดำรงอยู่ เดินหน้าจัดการศึกษาที่มีคุณภาพได้ (เช่น งบการเรียนการสอนที่เพิ่มขึ้น เงินเดือนครูที่เพิ่มขึ้น)
งบประมาณที่ต้องใช้เพิ่มเติมในการสนับสนุนนักเรียนและผู้ปกครองในโรงเรียนที่ถูกควบรวม (เช่น การสนับสนุนเรื่องการเดินทาง การปรับปรุงที่ดินและอาคารเพื่อวัตถุประสงค์อื่น)