ปัจจุบันมี "ค่าใช้จ่ายแฝง" จำนวนมาก ที่กลายเป็นภาระหนักอึ้งของผู้ปกครอง:
ช่องว่างของกฎหมาย: ประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรื่องการเก็บเงินบำรุงการศึกษาฯ เมื่อปี 2554 เปิดช่องให้โรงเรียนใช้ “ดุลพินิจ” เรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษาเพิ่มเติมได้หลายรายการ เช่น ค่าห้องแอร์ ค่าจ้างบุคลากรเพิ่ม หรือค่าสอนคอมพิวเตอร์ โดยไม่มีการกำหนด "เพดาน" ที่ชัดเจน
การขยายตัวของห้องเรียนพิเศษ: ปัจจุบันโรงเรียนรัฐหันมาเปิดห้องเรียนพิเศษ (เช่น EP หรือ Mini EP) มากขึ้น เพราะเก็บค่าเทอมได้สูงถึง 20,000 - 40,000 บาท แม้จะมีการกำหนดสัดส่วนห้องเรียนปกติกับพิเศษไว้ที่ 80:20 แต่กฎหมายกลับเปิดช่องให้ขยายเป็น 60:40 ได้
เรามุ่งมั่นที่จะปิดช่องโหว่เหล่านี้ เพื่อให้โรงเรียนรัฐเป็นพื้นที่ที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ผ่าน 3 มาตรการหลัก:
กำหนดเพดานค่าบำรุงการศึกษา ไม่ให้เก็บเงินเกินที่กำหนด:
ปัจจุบันมีเพียงหมวดค่าใช้จ่ายการจัดการเรียนการสอนเพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถของนักเรียน ที่กำหนดให้เก็บรวมกันไม่เกิน 1,250 บาท ขณะที่หมวดอื่นๆ (เช่น ค่าโครงการนอกหลักสูตร หรือค่าสาธารณูปโภค) ยังไม่มีการกำหนดเพดาน
รัฐพิจารณาอุดหนุนงบประมาณส่วนที่ขาดให้เพียงพอ เพื่อไม่ให้เกิดการผลักภาระค่าใช้จ่ายไปที่ผู้เรียน
ปฏิรูปห้องเรียนพิเศษ: จำกัดสัดส่วนห้องเรียนพิเศษในโรงเรียนรัฐไม่ให้เกินร้อยละ 30 ของห้องเรียนทั้งหมด
กำหนดโควตา "เรียนฟรี" ในห้องเรียนพิเศษ อย่างน้อยร้อยละ 25 ของจำนวนนักเรียน เพื่อให้เด็กที่มีความสามารถแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์เข้าเรียนได้
โครงการโรงเรียนเรียนฟรีต้นแบบ: รัฐจะสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนรายหัวและงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมเป็นพิเศษ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา ให้แก่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ โดยมีเงื่อนไขว่า "ห้ามเรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษาใดๆ เพิ่มเติมจากผู้เรียน"
เพื่อให้การ "เรียนฟรีจริง" เกิดขึ้นได้ทั่วประเทศ เราจะดำเนินการผ่านกลไกดังนี้:
แก้ไขประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยปรับหลักเกณฑ์การเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษา
ปรับเกณฑ์การรับนักเรียน แก้ไขประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง แนวนโยบายและแนวปฎิบัติเกี่ยวกับการรับนักเรียน ที่กำหนดสัดส่วนห้องเรียนปกติและห้องเรียนพิเศษ
กำหนดโครงการสนับสนุนโรงเรียนเรียนฟรี เพิ่มเติมในงบประมาณรายจ่ายประจำปี