นโยบายการพัฒนาการเรียนการสอน STEAM ในสังคมไทย

นโยบายการพัฒนาการเรียนการสอน STEAM ในสังคมไทย

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

แม้ว่าแนวคิด STEM และ/หรือ STEAM ซึ่งย่อมาจากScience (วิทยาศาสตร์) Technology (เทคโนโลยี) Engineering (วิศวกรรมศาสตร์) Arts (ศิลปกรรมศาสตร์) และ Mathematics (คณิตศาสตร์) จะมีการนำมาใช้ในประเทศไทยมาช่วงหนึ่งแล้ว (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556) และได้รับการกล่าวถึงในเชิงนโยบายพอสมควร แต่การการเรียนการสอน STEM/STEAM ในประเทศไทยกลับยังไม่คืบหน้ามากนัก เพราะยังมีอุปสรรคและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหลายประการ อาทิ

  • งานวิจัยหนึ่งพบว่า ครูส่วนใหญ่ในประเทศไทย (85.5%) ยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับการศึกษาด้าน STEM และประมาณ 19% ไม่สามารถให้คำนิยามของ STEM ได้

  • ครูจำนวนมากยังเข้าใจว่า STEAM คือ “การทำโครงงานวิทยาศาสตร์” หรือ “กิจกรรมพิเศษ” แทนที่จะเห็นว่าเป็น “แนวทางการสอนแบบบูรณาการ”

  • โรงเรียนมักมองว่า STEAM เป็น “โครงการพิเศษ” หรือ “กิจกรรมประกวด” มากกว่าการเปลี่ยนวิธีคิดการสอนในทุกห้องเรียน

  • การจัดกิจกรรมมักกลายเป็น “พิธีกรรม” เช่น การแสดงผลงานโครงงาน การแข่งหุ่นยนต์ หรือวัน STEAM แต่ไม่มีการบูรณาการในรายวิชาปกติ

  • หลักสูตรแกนกลางและระบบการสอบเน้น “ความรู้เชิงท่องจำ” มากกว่า “การคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา”

  • นักเรียนยังต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยข้อสอบแบบปรนัย ทำให้ครูไม่กล้าใช้เวลาไปกับกิจกรรมที่ใช้กระบวนการ STEAM ซึ่งกินเวลามากกว่าและประเมินยากกว่า

  • โรงเรียนจำนวนมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ขาดอุปกรณ์ วัสดุ หรือแม้แต่เวลาในตารางเรียนเพื่อทำกิจกรรมเชิงบูรณาการ

  • ครูบางคนต้องรับภาระสอนหลายวิชา หรือมีเวลาจำกัดในการเตรียมการสอนแบบ STEAM

  • หลายโรงเรียนจัดอบรมสั้น ๆ แล้วให้ครูกลับไปจัดกิจกรรมเอง โดยไม่มีระบบติดตาม สนับสนุน หรือโค้ชชิ่งประจำโรงเรียน และไม่มีระบบให้รางวัลหรือยอมรับครูที่พัฒนา STEAM อย่างแท้จริง ขณะที่ครูที่เน้นคะแนนสอบกลับได้รับการยอมรับมากกว่า

 

พรรคประชาชนจะทำอะไร (WHAT)

จากปัญหาและอุปสรรคข้างต้น พรรคประชาชนเห็นว่า การพัฒนาการเรียนการสอน STEAM ควรมีแนวทาง ดังนี้

  1. ปรับ “หลักสูตรแกนกลาง” ให้เน้นสมรรถนะ (Competency-based curriculum) หรือหลักสูตรที่เน้นการคิดเป็น ทำได้ และสื่อสารดี เช่น การคิดวิเคราะห์ การสื่อสาร การแก้ปัญหา และการทำงานเป็นทีม เพื่อนำไปสู่การตอบคำถามจริง/การใช้งานจริง/การเพิ่มทักษะ/ทัศนคติของผู้เรียน

  2. ออกแบบระบบประเมินผลที่หลากหลาย (Alternative Assessment) เปิดให้โรงเรียนใช้ การประเมินจากผลงาน (Performance-based Assessment) เช่น โครงงาน แฟ้มสะสมงาน การนำเสนอ หรือการทดลองจริง และมีการกำหนด “เกณฑ์การประเมินสมรรถนะ” (rubrics) ที่ชัดเจน เพื่อให้ครูและนักเรียนเข้าใจว่าความสำเร็จไม่ได้วัดจากคำตอบถูกเพียงอย่างเดียว

  3. ให้เสรีภาพแก่โรงเรียนมากขึ้นในการออกแบบหลักสูตรย่อย เช่น ออกแบบหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Integrated STEAM Unit)

  4. ใช้การประเมินแบบต่อเนื่องและตามกระบวนการ (Formative Assessment) ครูต้องไม่รอประเมินตอนจบโครงงาน แต่ให้เด็กสะท้อนความคิด (reflection) ทุกช่วง เช่น การตั้งคำถาม การวางแผน การปรับแบบทดลอง และใช้เครื่องมือเช่น rubric หรือ checklist ที่วัดกระบวนการคิดและการทำงานร่วมกัน

  5. เปลี่ยนบทบาทครูจาก “ผู้สอน” มาเป็น “ผู้อำนวยการเรียนรู้ (facilitator)” คอยตั้งคำถาม กระตุ้นการคิด ไม่ใช่เฉลยคำตอบ และสร้างบรรยากาศให้ “การผิดพลาด” เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ (Fail = First Attempt In Learning) หรือเรียกว่า การมีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับความผิดพลาดที่สร้างสรรค์ (Safe Space for Constructive and Move-forwarding Failures)

  6. บูรณาการ STEAM กับชีวิตจริงของชุมชน โดยใช้ปัญหาท้องถิ่นเป็นจุดเริ่มต้น เช่น น้ำท่วม ขยะ พลังงาน หรือเกษตรกรรม และชวนหน่วยงานท้องถิ่น หรือภูมิปัญญาชาวบ้าน เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้และประเมินผล

  7. สร้างระบบสะสมผลงาน (Portfolio-based Learning) ให้เด็กเก็บผลงานสะสมทั้งภาพถ่าย คลิปวิดีโอ แบบจำลอง รายงาน ฯลฯ และใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับการประเมินต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้เรียนได้เห็นพัฒนาการของตนเอง

 

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

พรรคประชาชนจะสนับสนุนการพัฒนาการเรียนการสอน STEAM ในแนวทางต่อไปนี้

  1. สนับสนุนให้มีโค้ช STEAM ประจำโรงเรียน โดยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงทางวิชาชีพ (instructional coach) ช่วยครูออกแบบหน่วยการเรียนรู้ ทดลองใช้ สังเกตชั้นเรียน และสะท้อนผลร่วมกัน และโรงเรียนที่มีประสบการณ์ อาจสร้าง “ครูต้นแบบ STEM” ในพื้นที่ แล้วให้ทำหน้าที่โค้ชข้ามโรงเรียน

  2. สนับสนุนการจัดตั้ง PLC STEAM (Professional Learning Community) เพื่อให้ครูเห็นว่า “ไม่ได้อยู่ลำพัง” และสามารถช่วยกันคิดหน่วยเรียนรู้ หรือสร้าง rubrics ร่วมกันได้ โดยประสบการณ์การศึกษาในสิงคโปร์พบว่า การนำแนวคิด Professional Learning Communities (PLC) มาใช้ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันของครูและพัฒนาคุณภาพการสอน โดยมีการสนับสนุนจากผู้นำโรงเรียนและการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมกัน

  3. อบรมครู STEAM แบบลำดับขั้น (Progressive Training) โดยพัฒนาควรเป็นระบบ “micro credential” หรือ “badge system” เช่น (ก) ระดับต้น: เข้าใจแนวคิด STEAM (ข) ระดับกลาง: ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ และ (ค) ระดับสูง: เป็นครูโค้ช STEAM

  4. สร้างและพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ช่วยครู (เช่น AI) แพลตฟอร์มนี้สามารถช่วยครูในหลายมิติ เช่น ช่วยออกแบบคำถามเพื่อสร้างการเรียนรู้ หรือสร้าง rubric หรือแบบประเมิน หรือเสนอแนวหน่วยการเรียนรู้ STEAM ตามบริบท หรือแม้แต่ช่วย “จำลองบทเรียน” ให้ครูลองใช้ก่อนสอนจริง โดยตัวแพลตฟอร์มเองจะพัฒนาให้มี “คลังสื่อ/ตัวอย่างชั้นเรียนจริงของครูไทย” เพื่อให้แพลตฟอร์มพูดภาษาเดียวกับบริบทโรงเรียนไทยได้

  5. สนับสนุนให้มีการสร้างหลักสูตรเฉพาะด้าน/เฉพาะพื้นที่ (Localized STEAM Curriculum)  เช่น  STEAM เรื่องการทำเกษตรแบบลดสารในภาคเหนือ STEM เรื่องการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานชุมชนภาคตะวันออก STEAM เรื่องเครื่องปั้นดินเผาในพื้นที่ที่มีการทำเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งเมื่อมีแพลตฟอร์มมารองรับ (ตามข้อ 4) ก็สามารถให้ครูในพื้นที่ “เพิ่มโมดูลใหม่” เข้ามาได้เรื่อย ๆ กลายเป็นคลัง STEAM ของประเทศ

  6. เปิดโอกาสและสนับสนุนให้ครูได้ทำโครงการศึกษาพิเศษด้าน STEAM เพื่อให้ครูมีโอกาสได้ทำโครงการพิเศษด้าน STEM/STEAM จะช่วยให้ครูได้มีโอกาสเชิงลึกในการเข้าใจระบบความคิด/ความรู้/ปฏิบัติการ ของเรื่องเฉพาะที่ตน/นักเรียนศึกษาได้ดีขึ้น/ลึกขึ้น/กว้างขึ้น ทั้งนี้ โครงการศึกษาพิเศษของครู จะต้องเป็นไปในลักษณะของการ “เปิดโอกาส” มิใช่การบังคับ หรือกดดันให้ครูต้องดำเนินการ

  7. พัฒนาและสนับสนุนระบบ “พี่เลี้ยงนักเรียน STEAM” (Student STEAM Mentor) โดนการสร้าง “รุ่นพี่นักเรียน” ที่เคยทำโครงงานหรือเรียนแบบ STEAM มาช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้รุ่นน้อง รุ่นพี่จะได้ฝึกอธิบาย สื่อสาร และสอนผู้อื่น และครูจะได้แรงสนับสนุนเพิ่มจากนักเรียนที่เข้าใจแนวคิดจริง ๆ

  8. สนับสนุนให้มีการประเมินและสะท้อนผลระดับระบบ (STEAM Reflection System) เพื่อให้ครูแต่ละโรงเรียนสะท้อนผลหลังใช้หน่วย STEAM เช่น  อะไรได้ผล? อะไรยังติดขัด? เด็กตอบสนองอย่างไร? นำข้อมูลนี้เข้าสู่ระบบฐานกลาง เพื่อปรับปรุงหน่วยการเรียนรู้ต่อเนื่อง ก็จะช่วยให้ “นโยบาย–การปฏิบัติ” เชื่อมกันได้จริง