วัตถุประสงค์หลักของนโยบาย เพื่อขจัดปัญหาที่เป็นคอขวด 3 ประการ ได้แก่
ปัญหาต้นทุนธุรกรรมสูงและการเข้าถึงตลาดที่ไม่เป็นธรรม: เกษตรกรรายย่อยเผชิญกับกำแพง "ต้นทุนการเข้าสู่ตลาด" (Market Access Costs) เช่น ค่าธรรมเนียมการวางสินค้า และเงื่อนไขที่ซับซ้อน ปัญหา "ระยะเวลาเครดิตเทอม" (Credit Period) ที่ยาวนานหลายเดือน ส่งผลให้เกษตรกรขาดสภาพคล่องทางการเงิน นโยบายนี้จึงมุ่งลดต้นทุนธุรกรรมและสร้างสมดุลอำนาจต่อรอง
การขาดมาตรฐานสินค้าและการจัดการคุณภาพ: สินค้าเกษตรจำนวนมากขาดการรับรองมาตรฐานสากล (GAP, GMP, Organic) ทำให้ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดราคาสูงได้ นโยบายนี้จึงผลักดันให้เกิด "มาตรฐานที่จำเป็น" เพื่อกำหนดราคาที่เป็นธรรมและสร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)
การเพิ่มประสิทธิภาพ: เพื่อให้เกษตรกรสามารถมุ่งเน้นไปที่ "การผลิตที่มีคุณภาพ" เพียงอย่างเดียว นโยบายนี้จึงสร้างกลไกตัวกลางเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระด้านการบริหารจัดการตลาด โลจิสติกส์ และการเงินของเกษตรกร
หัวใจสำคัญของนโยบายคือการสร้างระบบศูนย์บริหารจัดการสัญญาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยดำเนินการดังนี้
การจัดตั้งและยกระดับตัวกลางบริหารจัดการสัญญา: พัฒนาหน่วยงานที่มีความพร้อม เช่น องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.) หรือยกระดับสหกรณ์การเกษตร ให้เป็น "ตัวกลางเชิงระบบ" (Systemic Intermediary)
การรวมศูนย์สัญญาซื้อขายล่วงหน้า: ดำเนินการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับผู้ซื้อรายใหญ่ทั้งภาคเอกชน (Modern Trade) และภาครัฐ (เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน เรือนจำและอื่นๆ) เพื่อสร้างความแน่นอนด้านตลาด
เพิ่มประสิทธิภาพทางการเงิน: ตัดวงจรการเงินที่ล่าช้า โดยให้ตัวกลางทำหน้าที่ "สำรองจ่ายเงินให้เกษตรกรก่อน" (Advance Payment) เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง
การสร้างตลาดสินค้ามาตรฐาน: บังคับใช้ระบบคัดเกรดและการตรวจสอบย้อนกลับ เพื่อยกระดับผลผลิตให้เป็นสินค้าเกษตรที่ได้มาตรฐาน
ดูแลและรักษาความเป็นธรรมสำหรับเกษตรกร ทั้งในการต่อรองกับโมเดิร์นเทรด แพลตฟอร์มออนไลน์ และเกษตรแบบพันธะสัญญา
กลไกการขับเคลื่อนนโยบายอาศัยแนวทางการบริหารจัดการ 4 ด้าน
โครงสร้างการดำเนินงาน: จัดตั้ง "ศูนย์กลางตลาดมาตรฐาน" เพื่อเป็นศูนย์รวมคำสั่งซื้อ (Order Aggregation Center) บริหารจัดการตั้งแต่รวบรวมผลผลิต คัดแยก จนถึงส่งมอบ โดยมี "คณะกรรมการกำกับดูแล" ทำหน้าที่ดูแลธรรมาภิบาลและระงับข้อพิพาทระหว่างผู้ซื้อ ตัวกลาง และเกษตรกร
ระบบมาตรฐานสินค้า: จัดทำ "บัญชีผู้ผลิตมาตรฐาน" จำแนกตามประเภทสินค้าและมาตรฐานที่ได้รับ การรับซื้อจะใช้เกณฑ์คุณภาพอย่างเคร่งครัด พร้อมบันทึกข้อมูลเพื่อการตรวจสอบย้อนกลับ สร้างแรงจูงใจในการผลิตสินค้าคุณภาพสูง
ระบบสัญญาและการชำระเงิน:
ใช้ สัญญามาตรฐาน 3 ฝ่าย (ผู้ซื้อ-ตัวกลาง-เกษตรกร) ระบุรายละเอียดปริมาณ เกรด ราคา และเงื่อนไขการคืนสินค้าชัดเจน
การชำระเงินรวดเร็ว: ตัวกลางต้องจ่ายเงินให้เกษตรกรภายใน 3–7 วันทำการ หลังส่งมอบและตรวจรับ เพื่อสร้างสภาพคล่อง
ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (e-invoice, Bill Status Tracking) เพื่อความโปร่งใส
สิทธิประโยชน์ด้านการเงิน: สนับสนุน "สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ" และ "วงเงินค้ำประกัน" (เช่น จาก บสย.) ให้แก่ตัวกลาง เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการสำรองจ่ายค่าสินค้าให้เกษตรกรก่อนได้รับชำระจริงจากผู้ซื้อปลายทาง
สำหรับกระบวนการดำเนินงานแบ่งเป็น 6 ขั้นตอน ดังนี้:
การวางแผนนำร่อง: คัดเลือกพื้นที่ สินค้า และผู้ซื้อเป้าหมาย (ห้างสรรพสินค้า/หน่วยงานรัฐ)
การขึ้นทะเบียนและจัดทำแผน: ขึ้นทะเบียนกลุ่มเกษตรกรและจัดทำ "แผนการผลิตตามคำสั่งซื้อ" (Order-Based Production Plan)
การจัดทำเอกสารสัญญา: จัดทำสัญญา 3 ฝ่าย และกำหนดเกณฑ์มาตรฐานสินค้า
การพัฒนาระบบโลจิสติกส์: วางระบบศูนย์รวบรวม คัดเกรด และขนส่งสินค้า
การดำเนินการซื้อขาย: ดำเนินการส่งมอบ ตรวจรับ และตัวกลางจ่ายเงินเกษตรกรทันที ก่อนรอเรียกเก็บเงินจากผู้ซื้อ
การติดตามและประเมินผล: ตรวจสอบ KPIs และปรับปรุงระบบทุกไตรมาส
ตัวชี้วัดความสำเร็จที่กำหนดไว้ภายในระยะเวลา 2 ปี ประกอบด้วย:
การขยายฐาน: เพิ่มจำนวนผู้ซื้อปลายทางและเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ และเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่ได้มาตรฐานอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านการเงิน: ลดระยะเวลาการรอรับเงินของเกษตรกรเหลือ "ไม่เกิน 7 วันทำการ" หลังส่งมอบ
ด้านต้นทุน: ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงตลาด (Market Access Costs) ผ่านการบริหารจัดการรวมศูนย์
ข้อเสนอแนะด้านงบประมาณแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักเพื่อความยั่งยืน ได้แก่
งบลงทุนเริ่มต้น: สำหรับพัฒนาแพลตฟอร์มบริหารสัญญา ระบบติดตามสถานะบิล และโครงสร้างพื้นฐานศูนย์รวบรวม/คัดเกรด ประมาณ 200 ล้านบาท
วงเงินหมุนเวียน: สำหรับจัดหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและวงเงินค้ำประกัน เพื่อให้ตัวกลางสามารถสำรองจ่ายเงินให้เกษตรกรได้ภายใน 3-7 วัน ขึ้นอยู่กับจำนวนของเกษตรกร
งบพัฒนาศักยภาพ: สำหรับฝึกอบรมเกษตรกร บุคลากร และจ้างที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการผลิตและการตรวจรับรอง ประมาณ 50 ล้านบาท/ปี