นโยบายบริหารจัดการ “กองทุนแก้ปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำตามช่วงฤดูกาล”

นโยบายบริหารจัดการ “กองทุนแก้ปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำตามช่วงฤดูกาล”

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวเป็นวัฏจักรที่วนเวียนซ้ำซากสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรไทยมายาวนาน โดยเฉพาะสินค้าประเภทผลไม้ที่เน่าเสียง่ายและไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน เมื่อผลผลิตทะลักออกสู่ตลาดพร้อมกัน อำนาจการต่อรองจึงตกไปอยู่ที่ผู้รับซื้อ ทำให้ราคาตกต่ำจนกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร พรรคประชาชนจึงได้นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบผ่านนโยบายการบริหารจัดการ "กองทุนแก้ปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำตามช่วงฤดูกาล" เพื่อเป็นกลไกหลักในการรักษาเสถียรภาพราคาและสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้กับเกษตรกร

รากฐานของปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ มักเกิดขึ้นในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในเวลาพร้อมกัน โดยเฉพาะสินค้าที่เน่าเสียง่าย หรือไม่สามารถแปรรูปเก็บไว้ได้ทันที สถานการณ์เช่นนี้เปิดช่องให้ผู้รับซื้อสามารถกดราคาสินค้าเกษตรลงได้ เนื่องจากเกษตรกรไม่มีทางเลือกในการเก็บรักษาผลผลิต ดังนั้น วัตถุประสงค์หลักของนโยบายนี้คือ การเตรียมความพร้อมในการเข้าแทรกแซงกลไกตลาดเพื่อ "ดูดซับผลผลิตส่วนเกิน" ออกจากระบบด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งจะช่วยพยุงราคาไม่ให้ดำดิ่งลงจนเกษตรกรขาดทุน และรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรไว้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

เราจะทำอะไร (WHAT)

ใช้กลไกทางการเงินผ่าน "กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร" เป็นเครื่องมือหลักในการเข้าดำเนินการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรตามช่วงฤดูกาล โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่สินค้าประเภท "ผักและผลไม้" และสินค้าสำคัญทุกชนิดที่มีวงจรผลผลิตเป็นฤดูกาล

ความแตกต่างที่สำคัญของนโยบายนี้คือการเปลี่ยนวิธีคิดจากการ "แก้ปัญหาเฉพาะหน้า" เป็นการ "เตรียมการล่วงหน้า" โดยจะดำเนินการเตรียมดูดซับผลผลิตในปริมาณที่เหมาะสมก่อนที่ปัญหาจะเกิด นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มวงเงินกองทุนให้สูงถึง 10,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อให้มีทรัพยากรเพียงพอต่อการดำเนินการครอบคลุมสินค้าสำคัญทุกชนิด

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

กระบวนการทำงานของนโยบายนี้ไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่การอัดฉีดเม็ดเงิน แต่เน้นการบริหารจัดการระบบและโครงสร้างกองทุนใหม่ ดังนี้:

  • ปรับปรุงกฎระเบียบ: แก้ไขระเบียบและกลไกการทำงานของกองทุนรวมช่วยเหลือเกษตรกร ให้มีความคล่องตัว (Agility) มากขึ้น เพื่อให้สามารถอนุมัติและดำเนินการได้ทันต่อสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

  • เพิ่มงบประมาณ: ยกระดับขนาดของกองทุนให้ใหญ่ขึ้นเป็น 10,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อสร้างอำนาจในการดูดซับอุปทานส่วนเกินที่มีนัยสำคัญต่อตลาด

  • ประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า: ใช้ข้อมูลเพื่อประเมินความเสี่ยงและระบุสินค้าที่ต้องเข้าไปรักษาระดับราคา ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ไตรมาส (3 เดือน)

  • ทำข้อตกลงล่วงหน้า: ภาครัฐจะเตรียมการและทำข้อตกลง (MOU/Contracts) ไว้ล่วงหน้ากับผู้เล่นในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งผู้รับซื้อ ผู้แปรรูป และผู้ให้บริการเก็บรักษา (Cold Storage)

  • วางแผนการระบายสินค้า: กำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการระบายผลผลิตที่ได้รับซื้อหรือแปรรูปเก็บไว้ ออกสู่ตลาดอีกครั้งเมื่อสถานการณ์ราคาสูงขึ้น เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาตลาดในระยะยาว

 

สามารถจำแนกขั้นตอนการปฏิบัติการได้ดังนี้:

  • ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมความพร้อมเชิงโครงสร้าง: รัฐบาลดำเนินการปรับแก้ระเบียบกองทุนฯ เพื่อลดขั้นตอนราชการที่ยุ่งยาก พร้อมทั้งจัดสรรงบประมาณ 10,000 ล้านบาทเข้าสู่กองทุน

  • ขั้นตอนที่ 2 การพยากรณ์และวางแผน (Pre-Season): ก่อนถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว 3 เดือน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณผลผลิต หากพบแนวโน้มผลผลิตล้นตลาด จะเริ่มวางแผนปฏิบัติการทันที

  • ขั้นตอนที่ 3 การสร้างเครือข่ายกับเอกชน: รัฐบาลเจรจาและทำสัญญากับภาคเอกชน โรงงานแปรรูป และห้องเย็น เพื่อเตรียมพื้นที่และกำลังการผลิตสำหรับรองรับผลผลิตส่วนเกินที่จะถูกดึงออกจากตลาด

  • ขั้นตอนที่ 4 การปฏิบัติการพยุงราคา (Execution): เมื่อผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดและราคามีแนวโน้มลดต่ำกว่าเกณฑ์ กองทุนจะอนุมัติเงินเพื่อดำเนินการรับซื้อและนำไปแปรรูปหรือเก็บรักษาตามแผนที่วางไว้ทันที

  • ขั้นตอนที่ 5 การระบายสินค้า (Exit Strategy): เมื่อผ่านพ้นช่วงพีคของฤดูกาลและราคาสินค้าเริ่มปรับตัวสูงขึ้น รัฐบาลจะทยอยระบายสินค้าที่เก็บรักษาไว้ หรือสินค้าแปรรูปออกสู่ตลาด หรือส่งออกไปยังต่างประเทศ

พรรคประชาชนตั้งเป้าหมายที่ท้าทายและเน้นผลสัมฤทธิ์ที่รวดเร็ว คือ ภายในปีแรกจะต้องสามารถดำเนินการรักษาระดับราคาสินค้าที่มีการเคลื่อนไหวเป็นฤดูกาลได้สำเร็จ กลไกใหม่ของกองทุนรวมจะต้องพร้อมใช้งานและแสดงประสิทธิภาพในการพยุงราคาผลไม้และพืชผลฤดูกาลได้ทันทีในปีงบประมาณแรกที่เริ่มดำเนินการ


อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการวางแผนล่วงหน้า แต่การแทรกแซงกลไกตลาดย่อมมีความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง 2 ประการ

  • ความทันต่อสถานการณ์: หากราคาตลาดมีการเคลื่อนไหวแบบ "ผิดปกติ" (Abnormal volatility) ที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ กลไกการแก้ปัญหาอาจดำเนินการไม่ทันท่วงที

  • ปัญหาการประสานงานข้ามกระทรวง: การทำงานระหว่าง กระทรวงพาณิชย์ (ดูแลราคาและการตลาด) และ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดูแลผลผลิต) มักมีปัญหาขาดเอกภาพ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายให้ราบรื่น

เพื่อให้การดูดซับผลผลิตส่วนเกินมีประสิทธิภาพและครอบคลุม ได้วางแผนงบประมาณสำหรับกองทุนนี้ไว้อย่างชัดเจน โดยในปีงบประมาณ 2573  กองทุนนี้จะวงเงินหมุนเวียน 10,000 ล้านบาท และใช้งบประมาณก้อนนี้บริหารจัดการหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องต่อไป