แม้สังคมไทยจะมีหลักการไม่เลือกปฏิบัติปรากฏในข้อกฎหมายมานาน แต่ในทางปฏิบัติจริง "การเลือกปฏิบัติเชิงโครงสร้าง" ยังคงเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้ประชาชนบางกลุ่มถูกปฏิเสธโอกาสในการทำงาน ถูกกีดกันจากบริการสาธารณะ หรือถูกลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในชีวิตประจำวัน
ปัญหาสำคัญที่พบในปัจจุบันคือ:
กฎหมายกระจัดกระจาย: แม้จะมีกฎหมายคุ้มครองเฉพาะกลุ่มอยู่บ้าง แต่เนื้อหากระจัดกระจายและคุ้มครองไม่ครอบคลุมทุกมิติของอัตลักษณ์บุคคล
ขาดบรรทัดฐานที่ชัดเจน: ยังไม่มีกลไกกลางที่ทำหน้าที่วินิจฉัยอย่างเป็นระบบว่า "การกระทำใดเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติ"
ขาดมาตรการเยียวยา: ผู้เสียหายยังเข้าถึงการเยียวยาได้ยากและขาดหน่วยงานที่จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการเรียกร้องความเป็นธรรมที่มีประสิทธิภาพ
พรรคประชาชนเสนอให้มี กฎหมายว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติ เพื่อเป็นกฎหมายกลางในการคุ้มครองสิทธิ สาระสำคัญคือการจัดตั้ง คณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติ ซึ่งจะมีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยว่าการกระทำใดที่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติ รวมทั้งสามารถเป็นผู้แทนของบุคคลผู้ถูกเลือกปฏิบัติในการดำเนินคดีตามกฎหมายได้ทั้งทางแพ่ง อาญา และทางปกครอง
ตรากฎหมายว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติ โดยกำหนดให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติมีผลผูกพันตามกฎหมาย และให้คณะกรรมการฯ สามารถเป็นผู้แทนของบุคคลผู้ถูกเลือกปฏิบัติในการดำเนินคดีตามกฎหมายได้ทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง โดยมีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเป็นหน่วยงานเลขานุการ