คำนำหน้านามในสังคมไทย เช่น เด็กชาย เด็กหญิง นาย นาง และนางสาว เป็นระบบที่ใช้สืบต่อกันมานานโดยอิงจากเพศกำเนิดและช่วงวัย อย่างไรก็ตาม บริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้คำนำหน้านามแบบเดิมไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของบุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศหลากหลาย
แม้ในปี 2551 จะมีการแก้ไข พ.ร.บ.คำนำหน้านามหญิง เพื่อให้ผู้หญิงที่สมรสแล้วเลือกใช้คำนำหน้า "นางสาว" ได้ แต่ในปัจจุบันกฎหมายไทยยังไม่เปิดโอกาสให้บุคคลข้ามเพศเลือกใช้คำนำหน้าตามความสมัครใจ
ในการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ได้มีการเสนอร่างกฎหมายในประเด็นนี้แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบ เนื่องจากมีความกังวลเรื่องการใช้คำนำหน้าเพื่อหลอกลวงผู้อื่น โดยเฉพาะการถูกบุคคลข้ามเพศหลอกแต่งงาน ซึ่งพรรคประชาชนมองว่าเป็นความกังวลที่เกินกว่าเหตุ เนื่องจากในกรณีที่มีการหลอกลวงจริง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ก็มีบทบัญญัติรองรับในการเพิกถอนการสมรสอันเกิดจากกลฉ้อฉลอยู่แล้ว
พรรคประชาชนจึงเห็นว่าคำนำหน้านามเป็นสิ่งที่สังคมสมมติขึ้นเพื่อให้คนเรียกขานกัน จึงควรปรับปรุงให้เคารพต่ออัตลักษณ์ส่วนบุคคลตามความประสงค์ของพลเมืองทุกคนอย่างเสมอหน้ากัน
ตรากฎหมายว่าด้วยคำนำหน้านามของบุคคล เพื่อกำหนดให้บุคคลสามารถเลือกใช้คำนำหน้านามได้ตามความสมัครใจ เพื่อให้สอดคล้องกับเจตจำนงและอัตลักษณ์ทางเพศของแต่ละบุคคล
การขับเคลื่อนนโยบายนี้ ต้องดำเนินการทั้งในสภาและนอกสภา
(นอกสภา) รณรงค์และรับฟังความคิดเห็น จัดกระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกลุ่มคนที่มีมุมมองหลากหลาย เพื่อกำหนดรูปแบบและเงื่อนไขในการเปลี่ยนคำนำหน้านามให้เหมาะสม โดยยึดถือหลักสิทธิมนุษยชนและความเคารพต่ออัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) เป็นสำคัญ
(ในสภา) ตรากฎหมายว่าด้วยคำนำหน้านามของบุคคล เพื่อกำหนดให้บุคคลสามารถเลือกใช้คำนำหน้านามได้ตามความสมัครใจ