อนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ

อนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

การอนุรักษ์ ฟื้นฟู และดูแลรักษา พื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetlands) มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะพื้นที่เหล่านี้ทำหน้าที่เป็น "โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว" ที่รักษาสมดุลของระบบนิเวศในหลายมิติ:

1. ระบบจัดการน้ำตามธรรมชาติ 

พื้นที่ชุ่มน้ำเปรียบเสมือน "ไตของโลก" ที่ช่วยกรองของเสียและเป็นฟองน้ำขนาดยักษ์:

  • บรรเทาอุทกภัย: ช่วยชะลอและกักเก็บน้ำส่วนเกินในฤดูน้ำหลาก ไม่ให้ไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่ชุมชน
  • แหล่งน้ำสำรอง: น้ำที่เก็บกักไว้จะค่อยๆ ปล่อยออกมาในฤดูแล้ง ช่วยรักษาระดับน้ำใต้ดิน
  • ฟอกขจัดมลพิษ: พืชพรรณในพื้นที่ช่วยดักจับตะกอนและดูดซับสารพิษก่อนไหลลงสู่แม่น้ำสายหลักหรือทะเล

2. แหล่งกักเก็บคาร์บอนมหาศาล (Blue Carbon)

พื้นที่ชุ่มน้ำ โดยเฉพาะป่าชายเลนและป่าพรุ เป็นแหล่งกักเก็บ คาร์บอนสีน้ำเงิน (Blue Carbon) ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าป่าบกทั่วไปถึง 50 เท่า การสูญเสียพื้นที่เหล่านี้จะทำให้ก๊าซเรือนกระจกปริมาณมหาศาลถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศและเร่งให้เกิดสภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็ว

3. แหล่งความหลากหลายทางชีวภาพและความมั่นคงทางอาหาร

  • บ้านของสิ่งมีชีวิต: เป็นที่อยู่อาศัยของนกอพยพและสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์
  • แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ: เป็นที่วางไข่และอนุบาลสัตว์น้ำเศรษฐกิจ (กุ้ง หอย ปู ปลา) ซึ่งเป็นฐานทรัพยากรอาหารที่มีราคาถูกสำหรับประชาชน
  • วิถีชีวิตท้องถิ่น: ชุมชนพึ่งพาพืชผัก สมุนไพร และพื้นที่ทำนาข้าว/นาเกลือในการดำรงชีพ

4. กำแพงกันชนทางธรรมชาติ (Natural Barrier)

พื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งช่วยลดความรุนแรงของคลื่นลมและ คลื่นพายุซัดฝั่ง (Storm Surge) รวมถึงป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งได้ยั่งยืนกว่ากำแพงคอนกรีต

 

ปัจจุบันพื้นที่ชุ่มน้ำของประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่องจากสาเหตุหลัก ได้แก่:

  • การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน: การถมพื้นที่เพื่อเกษตรเชิงเดี่ยวและการขยายตัวของความเป็นเมือง
  • การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน: การสร้างเขื่อน ถนน และสะพาน ที่ปิดกั้นทางน้ำและเปลี่ยนระบบนิเวศ
  • มลพิษและการใช้ทรัพยากรเกินขนาด: สารเคมีจากอุตสาหกรรมและการเก็บเกี่ยวทรัพยากรที่เกินความสามารถในการฟื้นฟูของธรรมชาติ
  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change): ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น ปริมาณน้ำฝนไม่เสถียร และเกิดไฟป่าได้ง่ายขึ้น

หากเราสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำ เราจะต้องแลกมาด้วยต้นทุนในการสร้างโครงสร้างทางวิศวกรรม (เขื่อน/กำแพงกั้นน้ำ) มหาศาล พรรคประชาชนจึงถือว่าการฟื้นฟูพื้นที่เหล่านี้คือ "การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด" เพื่อความยั่งยืนของทั้งมนุษย์และสิ่งแวดล้อม

 

เราจะทำอะไร (WHAT)

เพื่อรับมือกับภัยคุกคามต่อพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น พรรคประชาชนเสนอแนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟูโดยแบ่งตามระยะเวลาดำเนินการ ดังนี้

ระยะสั้น: ปฏิบัติการเร่งด่วนร่วมกับท้องถิ่น (ทำทันที)

สนับสนุน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำผ่าน ภารกิจ: 4 ขั้นเปลี่ยนสายน้ำ “สะอาด-สะสาง-สร้างมูลค่า-ฟื้นฟู“

  • สะอาด (Clean): จัดการขยะอย่างเป็นระบบ
  • สะสาง (Clear): ขุดลอกทางน้ำให้ไหลเวียนดี
  • สร้างมูลค่า (Take Advantage): ยกระดับสู่การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจชุมชน (Community-Based Tourism - CBT)
  • ฟื้นฟู (Restoration): ฟื้นฟูระบบนิเวศริมน้ำเพื่อสนับสนุนการเกษตร ประมง และคุณภาพชีวิต

ระยะกลาง: พัฒนาฐานข้อมูลดิจิทัลเพื่อการจัดการ (2-3 ปี)

จัดตั้ง ศูนย์บริหารจัดการข้อมูลน้ำประจำจังหวัด เพื่อบูรณาการข้อมูลร่วมกับทุกหน่วยงานและภาคประชาชน:

  • จัดทำผังน้ำอัจฉริยะ: สำรวจเส้นทางน้ำตามลำดับ (Stream Order) ตั้งแต่แม่น้ำหลักจนถึงลำรางขนาดเล็ก พร้อมสำรวจทุก 4-5 ปี
  • เทคโนโลยีสำรวจขั้นสูง: ใช้ข้อมูล แบบจำลองระดับสูงเชิงเลข (Digital Elevation Model - DEM) ที่มีความละเอียดสูง ผ่านเทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) และ การตรวจจับและวัดระยะด้วยแสง (Light Detection and Ranging - LiDAR)
  • แผนที่ความเสี่ยง (Risk Maps): จัดทำระบบเตือนภัยผ่านแอปพลิเคชัน ครอบคลุมความเสี่ยงน้ำท่วม น้ำเค็มหนุน น้ำเสีย และการกัดเซาะชายฝั่ง

ระยะยาว: สร้างความยั่งยืนเชิงโครงสร้างธรรมชาติ (ภายใน 4 ปี)

1. ฟื้นฟูพื้นที่แผ่น้ำและรับน้ำ

ประยุกต์ใช้ การแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based Solutions - NbS) เพื่อฟื้นฟูป่าชายเลนและพื้นที่ชุ่มน้ำให้สามารถรองรับน้ำหนุน (High Tide Flooding) และสภาวะฝนตกรุนแรงจัด (Rain Bomb) ได้ในระดับชุมชน

2. กำหนดพื้นที่อนุรักษ์นอกเขตพื้นที่คุ้มครอง (OECMs)

ส่งเสริมกลไก มาตรการอนุรักษ์อื่นที่มีประสิทธิภาพนอกเขตพื้นที่คุ้มครอง (Other Effective Area-based Conservation Measures - OECMs) ตามข้อตกลงสหประชาชาติ เพื่อให้ชุมชนสามารถบริหารจัดการและดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่นอกเขตอุทยานฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. การวางแผนฉากทัศน์สำหรับอนาคต (Scenario Planning)

  • ออกแบบพื้นที่รับน้ำฉุกเฉิน: วางแผนพื้นที่แผ่น้ำขนาดใหญ่ที่ใช้ประโยชน์ได้หลากหลายวัตถุประสงค์ร่วมกับชุมชน
  • วิศวกรรมเฉพาะจุด: ประเมินการใช้โครงสร้างทางวิศวกรรมเฉพาะในพื้นที่ที่วิธีทางธรรมชาติไม่สามารถแก้ปัญหาได้
  • ระบบน้ำแยกส่วน: วางแผนร่วมกับ อปท. เพื่อแยกท่อน้ำทิ้งออกจากท่อระบายน้ำฝน เพื่อให้มั่นใจว่า "น้ำท่วมต้องสะอาด" และรองรับระบบบำบัดน้ำเสียในอนาคต

 

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

เพื่อให้การอนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำเกิดขึ้นได้จริง พรรคประชาชนได้ออกแบบ กลไกขับเคลื่อนเชิงระบบ ที่ครอบคลุมทั้งอำนาจ งบประมาณ ข้อมูล และการมีส่วนร่วม โดยดำเนินการควบคู่กับ กลไกทางกฎหมาย ดังนี้:

1. ทำให้ท้องถิ่น “ทำได้จริง ทำทันที” (ระยะเร่งด่วน)

  • กระจายอำนาจและงบประมาณ: ส่งงบประมาณตรงให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สำหรับภารกิจ “สะอาด-สะสาง-สร้างมูลค่า-ฟื้นฟู“
  • มาตรฐานการทำงาน: จัดทำ "คู่มือมาตรฐานการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ" เพื่อให้ท้องถิ่นใช้เป็นแนวทางเดียวกันทั่วประเทศ
  • การมีส่วนร่วม: ตั้งคณะทำงานระดับตำบล/อำเภอ ที่ประกอบด้วย อปท. ชุมชน และนักวิชาการ ร่วมตัดสินใจเพื่อลดความขัดแย้ง
  • สร้างงานสร้างรายได้: สนับสนุนการจ้างงานและวิสาหกิจชุมชน เช่น การท่องเที่ยว การท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community-Based Tourism - CBT) และการดูแลรักษาพื้นที่สีเขียว

2. ขับเคลื่อนนโยบายด้วยข้อมูล (Data Driven) (ระยะกลาง)

  • ศูนย์ข้อมูลน้ำจังหวัด: จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการข้อมูลน้ำระดับจังหวัดที่มีสถานะทางกฎหมายและงบประมาณที่ชัดเจน
  • มาตรฐานข้อมูลเดียว (Data Standard): บังคับใช้มาตรฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานให้เชื่อมต่อกันได้จริง
  • วิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง (Citizen Science): ผนวกข้อมูลจากอาสาสมัครและแอปพลิเคชันเพื่ออัปเดตปัญหาแบบเรียลไทม์
  • การตัดสินใจบนฐานข้อมูล: เชื่อมโยงข้อมูล Risk Maps เข้ากับการจัดงบประมาณและการอนุญาตใช้ที่ดิน

3. เปลี่ยนจาก “แก้ปัญหาเฉพาะหน้า” เป็น “แก้เชิงโครงสร้างธรรมชาติ” (ระยะยาว)

  • ผังเมืองและผังน้ำ: บรรจุพื้นที่รับน้ำและป่าชายเลนไว้ในผังเมืองและแผนพัฒนาท้องถิ่นอย่างเป็นทางการ
  • แรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์: ใช้กลไก การตอบแทนคุณค่าของระบบนิเวศ (Payment for Ecosystem Services - PES) หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อจูงใจให้เจ้าของที่ดินเก็บรักษาพื้นที่รับน้ำแทนการเวนคืน
  • โครงการนำร่อง NbS: สร้างพื้นที่ต้นแบบ การแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based Solutions - NbS) ในพื้นที่เสี่ยงซ้ำซากเพื่อสร้างหลักฐานเชิงประจักษ์

4. วางแผนร่วมกันจากล่างขึ้นบน (Bottom-up Approach)

  • การวางแผนภาพฉากทัศน์ (Scenario Planning): วางแผนร่วมกับชุมชนและภาคธุรกิจเพื่อสร้างความเข้าใจในความเสี่ยงและทางเลือก
  • ความโปร่งใสทางวิศวกรรม: หากจำเป็นต้องสร้างโครงสร้างทางวิศวกรรม ต้องเปิดเผยข้อมูลผลกระทบและต้นทุนทางเลือกให้สังคมตรวจสอบได้
  • แยกน้ำดี-น้ำเสีย: บูรณาการแผนแยกระบบน้ำทิ้งออกจากท่อระบายน้ำฝนไว้ในแผนลงทุนระยะยาวของ อปท.

 

กลไกทางกฎหมายและการกระจายอำนาจ

1. บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างเข้มงวด

  • พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561: กฎหมายหลักในการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ
  • พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2556: เพื่อจัดการสิ่งกีดขวางทางน้ำ
  • พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535: รองรับการฟื้นฟูระบบนิเวศและควบคุมมลพิษ (EIA)
  • พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522: ควบคุมสิ่งปลูกสร้างไม่ให้กีดขวางทางน้ำ

2. ปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ

  • พ.ร.บ.กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542: ถ่ายโอนอำนาจการจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้ อปท. สามารถออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อดูแลพื้นที่ของตนเองได้
  • พ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2562: รองรับการจัดทำ "ผังน้ำ" และกำหนดพื้นที่รับน้ำ (Retention Areas) อย่างเป็นระบบ

3. ผลักดันกฎหมายใหม่

  • ร่าง พ.ร.บ.พื้นที่ชุ่มน้ำ พ.ศ. ... : ที่พรรคประชาชนยื่นเข้าสภาฯ แล้ว เพื่อคุ้มครองพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างเป็นระบบ จัดการมลพิษ และส่งเสริมสิทธิชุมชนในการดูแลรักษาทรัพยากร