PM2.5: ผู้ปล่อยมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย

เปลี่ยนมลพิษที่เคยฟรีให้เป็นต้นทุน บังคับผู้ก่อมลพิษแบกรับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและสังคม พร้อมใช้มาตรการการเงินปรับพฤติกรรมการปล่อยฝุ่นจากต้นตอ

PM2.5: ผู้ปล่อยมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

ปัญหามลพิษทางอากาศของไทยไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการ "บังคับ" เพียงอย่างเดียว เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่มี แรงจูงใจทางต้นทุน เป็นตัวกำหนดพฤติกรรม ที่ผ่านมาการปล่อยมลพิษมี "ราคาถูกเกินจริง" เนื่องจากผู้ก่อมลพิษไม่ได้แบกรับต้นทุนด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่กลับโยนภาระให้สังคมและรัฐแบกรับแทน

เราจะเปลี่ยนมลพิษที่เคย "ฟรี" ให้กลายเป็น "ต้นทุน" และเปลี่ยนความสะอาดให้กลายเป็น "ผลตอบแทน" ทางเศรษฐกิจ ผ่านหลักการ Polluter Pays Principle (PPP)

1.การปล่อยมลพิษมีต้นทุนถูกกว่า: การปล่อยมลพิษมีต้นทุนต่ำกว่าการบำบัดหรือการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี ทำให้ผู้ประกอบการและบุคคลไม่มีแรงจูงใจที่จะลดการปล่อยมลพิษตั้งแต่ต้นทาง

2. งบประมาณแผ่นดินมีจำกัด: การใช้เพียงงบประมาณภาษีทั่วไปในการแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียวนั้นอาจไม่เพียงพอและไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่ไม่ได้ก่อมลพิษ

3. กลไกกฎหมายเดิมขาดมาตรการบังคับ: มาตรการเชิงบังคับ (Command and Control) ตามกฎหมายเดิมมักใช้เวลานานและมีช่องว่างในการหลบเลี่ยง ต่างจากมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ที่ปรับพฤติกรรมผ่านผลประโยชน์ทางการเงินโดยตรง

เราจะทำอะไร (WHAT)

พรรคประชาชนเสนอการใช้ "มาตรการทางเศรษฐศาสตร์" เพื่อดึงต้นทุนที่แท้จริงกลับสู่ผู้ก่อมลพิษ ควบคู่กับการสร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีสะอาด โดยมีเป้าหมายหลักคือ

• ทำให้ผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบต้นทุนทางสังคมและสุขภาพที่เกิดขึ้นจริง

• สร้างแรงจูงใจให้เกิดการป้องกันและบำบัดมลพิษที่ต้นทางผ่านสิทธิประโยชน์ทางการเงิน

• สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านในภาคการผลิต ขนส่ง และบริโภคสู่เทคโนโลยีปล่อยมลพิษต่ำ

• สนับสนุนการจัดตั้งกลไกทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการอากาศสะอาดในระยะยาว

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

พรรคประชาชนจะขับเคลื่อนผ่าน 6 กลไกสำคัญเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างแรงจูงใจ ทางเศรษฐศาสตร์ในการลดการปล่อยมลพิษ โดยเตรียมมาตรการไว้ก่อน เพื่อรองรับร่างกฎหมายอากาศสะอาดล่วงหน้า ทำงานก่อนเลยไม่ต้องรอเวลา เมื่อกฎหมายผ่าน เราจะไม่เสียเวลาในการออกแบบมาตรการภายหลังอีก ได้แก่

1. กลไกการเก็บค่าธรรมเนียมผู้ก่อมลพิษ รวมถึงการลดหย่อน ยกเว้น และขอคืนค่าธรรมเนียม

กำหนดแนวทางอัตราค่าธรรมเนียมให้ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย รวมถึงการเพิ่มสิทธิในการลดหย่อน หรือขอคืนค่าธรรมเนียมมลพิษสำหรับผู้ที่สามารถลดการปล่อยมลพิษได้ดีกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อสร้างการแข่งขันในการรักษาสิ่งแวดล้อม และมีระบบอุทธรณ์ที่ตรวจสอบได้

2. ระบบซื้อขายสิทธิในการระบายมลพิษ (Emission Trading System - ETS)

ในพื้นที่ควบคุมมลพิษหรือพื้นที่วิกฤต (Non-attainment area) รัฐจะกำหนดปริมาณการระบายมลพิษรวมสูงสุดตามศักยภาพของพื้นที่ และเปิดให้ผู้ประกอบการ ซื้อขายสิทธิในการระบาย เพื่อควบคุมปริมาณมลพิษรวม อย่างมีประสิทธิภาพและยุติธรรมตามกลไกตลาด

3. ระบบฝากไว้ได้คืน (Deposit-Refund System)

นำมาใช้กับผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อมลพิษ (เช่น บรรจุภัณฑ์สารเคมีเกษตร หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) เพื่อจูงใจให้นำกลับเข้าสู่ระบบจัดการที่ถูกต้อง แทนการเผาหรือทิ้งในพื้นที่เปิด

4.  กำหนดหลักประกันในการขอใบอนุญาตในกิจการที่มีความเสี่ยงสูง

กิจการที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อมลพิษทางอากาศร้ายแรงต้องมี "หลักประกัน" ก่อนได้รับอนุญาต ประกอบกิจการ เพื่อใช้ในการเยียวยา ฟื้นฟู และลดภาระของประชาชนเมื่อเกิดอุบัติภัยด้านมลพิษทางอากาศ

5. กองทุนอากาศสะอาด 

จัดตั้งกองทุนกลางเพื่อรวบรวมรายได้จากค่าธรรมเนียมมลพิษ ค่าปรับ และเงินชดเชยตามหลัก PPP นำไปใช้ในภารกิจ

• สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอากาศสะอาด

• ช่วยเหลือและเยียวยากลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบทางสุขภาพ

• สนับสนุนท้องถิ่นในการจัดการเหตุฉุกเฉินด้านฝุ่นพิษ

6. มาตรการอุดหนุนเพื่อการเปลี่ยนผ่าน

ใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loans) และสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อช่วยให้ SMEs เกษตรกร และชุมชน สามารถเปลี่ยนไปใช้เครื่องจักรหรือเทคโนโลยีที่ปล่อยมลพิษต่ำได้โดยไม่แบกรับภาระต้นทุนเพียงลำพัง