PM2.5: แก้ปัญหามลพิษอากาศอุตสาหกรรม

ผลักดันกฎหมาย PRTR บังคับโรงงานรายงานและเปิดเผยปริมาณการปล่อยมลพิษสู่สาธารณะ เพื่อให้ประชาชนร่วมตรวจสอบและเฝ้าระวังแหล่งกำเนิดฝุ่นพิษรอบตัวได้อย่างทั่วถึง

PM2.5: แก้ปัญหามลพิษอากาศอุตสาหกรรม

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

มลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 และฝุ่นทุติยภูมิ (NOx, SOx, VOCs) โดยเฉพาะในเขตปริมณฑลและภาคตะวันออก ปัญหาใหญ่คือไทยยังขาดระบบข้อมูลที่โปร่งใสและการจัดการเชิงพื้นที่ที่สอดคล้องกับสภาพความจริง ส่งผลให้เกิดปัญหาการสะสมมลพิษเกินขีดความสามารถของระบบนิเวศ

1. ขาดกฎหมายเปิดเผยข้อมูล (PRTR): รัฐไม่ทราบข้อมูลที่ชัดเจนว่าโรงงานแต่ละแห่งปล่อยมลพิษชนิดใดและปริมาณเท่าใด ทำให้การกำกับดูแลเป็นแบบแยกส่วนและเน้นแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเมื่อมีการร้องเรียน

2. ละเลยศักยภาพการรองรับมลพิษของพื้นที่: การอนุญาตตั้งหรือขยายโรงงานยังไม่เชื่อมโยงกับศักยภาพการรองรับมลพิษของพื้นที่ (Carrying Capacity) จริง ส่งผลให้มลพิษสะสมจนกระทบต่อสุขภาพประชาชนอย่างรุนแรง

3. เป็นสาธารณภัยเชิงโครงสร้าง: ปัญหานี้ไม่ใช่เพียงเรื่องสิ่งแวดล้อมทั่วไป แต่เป็นภัยที่เกิดซ้ำซากจากการขาดฐานข้อมูลรายแหล่งที่ครบถ้วน และการทำงานแบบต่างคนต่างทำของหน่วยงานรัฐ จึงไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไม่ได้

เราจะทำอะไร (WHAT)

พรรคประชาชนมุ่งปฏิรูประบบกำกับดูแลมลพิษอุตสาหกรรมโดยใช้ความโปร่งใสและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวนำ ดังนี้:

• ตรากฎหมาย PRTR: บังคับให้โรงงานรายงานข้อมูลมลพิษทุกประเภทสู่ฐานข้อมูลสาธารณะ

• แบ่งเขตพื้นที่มลพิษชัดเจน: กำหนดเขต Attainment area (เขตผ่านเกณฑ์) และ Non-attainment area (เขตไม่ผ่านเกณฑ์) เพื่อใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวดต่างกัน

• บูรณาการเข้าสู่ CACC: เชื่อมโยงข้อมูลโรงงานเข้ากับศูนย์บัญชาการมลพิษทางอากาศ (CACC) เพื่อให้การวางแผนและประเมินผลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

• เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบติดตาม: ใช้เทคโนโลยีช่วยตรวจจับการระบายปลายปล่องเพิ่ม และให้อำนาจท้องถิ่นจัดการที่ต้นตอ

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

พรรคประชาชนจะขับเคลื่อนการจัดการมลพิษอุตสาหกรรมผ่านแผนงานที่ชัดเจน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและสุขภาพของประชาชน:

1. ผลักดันกฎหมาย PRTR 

• การรายงานมลพิษรายแหล่ง: ผลักดันกฎหมาย PRTR (Pollutant Release and Transfer Register) บังคับโรงงานรายงานชนิดและปริมาณสารมลพิษที่ปล่อยออกมา รวมถึงการเคลื่อนย้ายกากมลพิษเข้าสู่ฐานข้อมูลกลาง

• เปิดเผยข้อมูลมลพิษต่อสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถตรวจสอบและเฝ้าระวังแหล่งกำเนิดมลพิษรอบตัวได้อย่างทั่วถึง

2. การจัดการเชิงพื้นที่ตามศักยภาพมลพิษ (Carrying Capacity)

การแบ่งเขตการจัดการคุณภาพอากาศ: ใช้ข้อมูลจาก PRTR มาแบ่งพื้นที่ที่ผ่านเกณฑ์ (Attainment area) และไม่ผ่านเกณฑ์ (Non-attainment area) อย่างเป็นทางการ โดยในพื้นที่ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ (Non-attainment) จะมีมาตรการจำกัดการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดขึ้นเป็นพิเศษ

• พื้นที่ศักยภาพรองรับมลพิษพิเศษ: กำหนดพื้นที่ศักยภาพรองรับมลพิษพิเศษ (Special Pollution Carrying Capacity Area) เพื่อจำกัดการตั้งหรือขยายโรงงานใหม่หากมลพิษในพื้นที่นั้นเกินศักยภาพที่ระบบนิเวศจะรองรับได้

3. บูรณาการข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอ

• Data Integration: เชื่อมโยงข้อมูลไอเสียจากโรงงาน เข้ากับข้อมูลอุตุนิยมวิทยา คุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ และข้อมูลสุขภาพ เพื่อจัดการปัญหาฝุ่นที่ต้นตอ

4. เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบติดตาม:

• การใช้เทคโนโลยีในการตรวจจับการระบายมลพิษทางอากาศ: ใช้ Hyperspectral UAV/Drone ที่สามารถตรวจจับการปล่อยค่ามลพิษทางอากาศจากโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดระดับรายโรงงานได้ (ละเอียดกว่าการใช้ดาวเทียม)

• การเพิ่มบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น: กำหนดให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น เป็น เจ้าพนักงานควมคุมมลพิษ และ พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพ.ร.บ.โรงงาน เพื่อให้อำนาจท้องถิ่นในการเข้าตรวจสอบ และเชื่อมโยงกับอำนาจการสั่งระงับ ควบคุมกิจการตามพ.ร.บ.สาธารณสุขที่มีอยู่ได้อย่างตรงจุด