มลพิษจากภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะการเผาเศษวัสดุจาก ข้าว ข้าวโพด และอ้อย เป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 ที่สำคัญและเกิดซ้ำเป็นวงจรทุกปี ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากตัวเกษตรกรเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก โครงสร้างการผลิต ที่ขาดทางเลือกในการจัดการเศษวัสดุ และการที่รัฐขาดฐานข้อมูลที่แม่นยำในการวางแผนล่วงหน้า
1. ตัวชี้วัดคลาดเคลื่อน: รัฐยังใช้ "จุดความร้อน" (Hotspot) เป็นตัววัดหลัก ซึ่งบอกเพียงจุดที่เกิดไฟ แต่ไม่สะท้อนถึง "ขนาด" หรือ "พื้นที่ความเสียหาย" (Burnscar) ทำให้ประเมินงบประมาณและความรุนแรงผิดพลาด
2. ข้อมูลแยกส่วน: ประเทศไทยขาดฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงระหว่าง "พื้นที่ปลูกพืช - อายุพืช - ปริมาณเศษวัสดุ" ทำให้การส่งเสริมเครื่องจักรกลหรือการจัดการเชื้อเพลิงทำได้ไม่ถูกที่ถูกเวลา
3. ขาดเครื่องจักรและแรงจูงใจ: เกษตรกรขาดเครื่องจักรทุ่นแรง และขาดแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่จะ "ไม่เผา" เนื่องจากต้นทุนการจัดการเศษวัสดุด้วยวิธีอื่นมีราคาสูงกว่าการเผา
พรรคประชาชนเสนอการจัดการที่ "ต้นตอห่วงโซ่การผลิต" โดยใช้ข้อมูลนำการจัดการพื้นที่ และปรับแรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ ดังนี้
• เปลี่ยน KPI การวัดผล: จากจุดความร้อน (Hotspot) เป็นพื้นที่เผาไหม้จริง (Burnscar) เพื่อประเมินผลงานรัฐตามความเป็นจริง
• ใช้ข้อมูลวางแผนเชิงรุก: เชื่อมข้อมูลที่ดินและวัฏจักรการปลูกพืชเพื่อ "คาดการณ์" ช่วงเวลาเสี่ยงเผาก่อนที่ฝุ่นจะเกิด
• สร้างระบบจัดการเศษวัสดุให้มีมูลค่า: เชื่อมโยงเศษวัสดุเกษตรเข้ากับอุตสาหกรรมพลังงานและชีวมวล
• ใช้กลไกห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain): ออกมาตรฐานบังคับให้ผู้รับซื้อและร้านค้าผลิตภัณฑ์ปลายทางมีส่วนรับผิดชอบต่อการเผาในแปลงเกษตร
1. จัดทำระบบฐานข้อมูลและการติดตามเชิงรุก
• ข้อมูลดาวเทียมแบบ Burnscar: ใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมตรวจวัดพื้นที่เผาไหม้จริง ร่วมกับการลงตรวจสอบภาคสนาม (Ground Check) เพื่อความแม่นยำสูงสุด
• เกษตรดิจิทัล: เชื่อมโยงข้อมูลที่ดิน (กรมพัฒนาที่ดิน/สปก.) กับข้อมูลอายุพืช เพื่อจัดทำ "แผนที่เสี่ยงการเผาตามช่วงเวลา" ทำให้รัฐสามารถส่งเครื่องจักรหรือมาตรการอุดหนุนลงไปก่อนที่เกษตรกรจะเริ่มเผา
2. สนับสนุนมาตรการจัดการเศษวัสดุพืชรายชนิด
• ข้าว: สนับสนุนการย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ การไถกลบ และการผลิตปุ๋ยอัดเม็ด พร้อมกำหนดมาตรการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่เผาซ้ำซาก
• ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์: ส่งเสริมการผลิต ไบโอชาร์ (Biochar) ปุ๋ยอัดเม็ด และอาหารสัตว์ในพื้นที่ พร้อมปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกที่ไม่เหมาะสม
• อ้อย: สนับสนุนการตัดอ้อยสด และการไถกลบ ควบคู่กับการเชื่อมโยงโรงไฟฟ้าชีวมวลให้รองรับเศษอ้อยได้อย่างเพียงพอ
3. ใช้กลไกตลาดช่วยลดการเผา
• ฉลากสินค้าเกษตรไม่เผา: สร้างเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าที่ไม่ใช้การเผาในกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มมูลค่าและดึงดูดผู้บริโภค
• ออกมาตรฐานบังคับการทำการเกษตรแบบไม่เผา และใช้กลไกห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ตรวจสอบและกำกับการไม่เผาในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่แปลงเกษตรจนถึงผู้รับซื้อ
4. สนับสนุนเครื่องจักร
สนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตรสำหรับการจัดการเศษวัสดุ โดยเปิดให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วม และจัดทำระบบข้อมูลตำแหน่ง จำนวน และการเคลื่อนย้ายเครื่องจักร