ความเสียหายที่เกิดจากภาวะโลกร้อนในประเทศไทยมีรายละเอียดที่น่ากังวล:
1. ความเสียหายต่อ GDP และชีวิต
• ในช่วงปี พ.ศ. 2543–2562 ประเทศไทยมีดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศโลก (Global Climate Risk Index) อยู่ใน อันดับที่ 9 ของโลก
• ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยสูงถึง 7,719 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี หรือคิดเป็น ร้อยละ 0.82 ของ GDP ในช่วงเวลาดังกล่าว
• เกิดเหตุภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศมากถึง 146 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 138 คน
2. ผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร
• หากไม่มีมาตรการรองรับ ภาวะโลกร้อนอาจทำให้ ผลผลิตทางการเกษตรลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 6 ภายใน 10 ปีข้างหน้า
• พื้นที่เกษตรนอกเขตชลประทานและพื้นที่เพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยวจะได้รับผลกระทบมากกว่าพื้นที่อื่น ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงต่อ ความมั่นคงทางอาหาร ในที่สุด
ประเทศที่เริ่มปรับตัวก่อนย่อมได้รับประโยชน์มากกว่า พรรคประชาชนจึงมีวิสัยทัศน์ให้ประชาชนมีความมั่นคงด้านน้ำ อาหาร สุขภาพ คุณภาพชีวิต และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
พรรคประชาชนมีข้อเสนอในการแก้ไขปัญหา โดยแบ่งออกเป็น 3 ภาคส่วน และเน้นแนวคิด การปรับตัวโดยอาศัยระบบนิเวศ (Ecosystem-based Adaptation: EbA) ร่วมกับโครงสร้างพื้นฐาน
1. การจัดการน้ำ
• ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ: ด้วยการปลูกและคุ้มครองป่าต้นน้ำ เพื่อลดการพังทลายของดินและเพิ่มการกักเก็บน้ำตามธรรมชาติ
• ฟื้นรูปแนวร่องน้ำให้เป็นธรรมชาติ (Meandering): โดยปรับร่องน้ำหลักให้กลับมามีความโค้งตามธรรมชาติ เพื่อชะลอการไหลและลดการกัดเซาะตลิ่ง
• กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำที่ไม่จำเป็น: โดยนำอุปสรรคที่ทำให้การไหลสะดุดออก หรือออกแบบใหม่ให้สอดคล้องกับวิถีทางน้ำตามธรรมชาติ
• ฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำและป่าชายเลน: โดยรักษาและฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งและป่าชายเลน ให้มีลักษณะเป็นฟองน้ำช่วยชะลอคลื่นและกักเก็บน้ำหลาก
2. การเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร
• สนับสนุนเกษตรกรปรับเปลี่ยนการเพาะปลูก: ผ่านการให้เงินช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไขในการปรับเปลี่ยนแนวทางการเพาะปลูกพืชตามที่รัฐกำหนด เช่น การปลูกข้าวที่ใช้น้ำน้อยลง อาทิ การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง หรือการปลูกพืชด้วยเมล็ดพันธุ์ชนิดที่รัฐวิจัยและส่งเสริม
• ประกันภัยการเกษตรด้วยดัชนีสภาพอากาศ: โดยปรับปรุงกลไกในปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว ให้รัฐ อุดหนุนค่าประกันภัยการเกษตร ในลักษณะการร่วมจ่ายกับเกษตรกร
• จัดทำปฏิทินการเพาะปลูกตามข้อมูลภูมิอากาศ: เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงข้อมูลพยากรณ์และปฏิทินเพาะปลูกที่ปรับตามภูมิภาค ซึ่งจะสอดคล้องกับการให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรในกรณีเกิดภัยพิบัติด้วย
3. การตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงของมนุษย์
• วางผังเมืองให้รองรับความเสี่ยง: เช่น การกำหนดพื้นที่สงวนไว้สำหรับเป็นพื้นที่รับน้ำและพื้นที่สีเขียวให้ชัดเจน รวมไปถึงการกำหนดให้มี ระยะถอยร่นจากลำน้ำ และคงไว้ซึ่งพื้นที่ธรรมชาติริมฝั่งน้ำเป็นข้อบังคับเด็ดขาด เพื่อเป็นพื้นที่กันชน
• พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น: รองรับภัยพิบัติ ตามแนวคิด Nature-based Solutions (NbS) เช่น การออกแบบพื้นที่สาธารณะให้กักเก็บน้ำชั่วคราวได้
• ทบทวนแผนการบริหารจัดการน้ำใหม่ทั้งระบบ: ทั้งสถานการณ์ปกติ และสถานการณ์อุทกภัย เพื่อสอบทานถึงความจำเป็นของโครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ
พรรคประชาชนจะสร้างขีดความสามารถในการปรับตัวผ่านการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
1. ผลักดันร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: โดยมีเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับการจัดตั้ง กองทุนการเปลี่ยนผ่านสีเขียว และ กองทุนการปรับตัวและรับมือภัยพิบัติ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการช่วยเหลือชุมชน กลุ่มเปราะบาง
2. ปรับปรุงกฎหมายและนโยบายให้เอื้อต่อการดำเนินโครงการ NbS
• ประกาศบังคับใช้ระบบทางน้ำตามผังน้ำใน 22 ลุ่มน้ำ (ตาม ม.17(5) และ ม.56 แห่ง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561) ร่วมกับ สทนช. และกรมโยธาธิการและผังเมือง
• เร่งจัดทำข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน ที่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยอาจเริ่มจากพื้นที่เสี่ยงสูงบางแห่ง เช่น EEC
3. ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนที่ดิน: เพื่อให้รัฐสามารถซื้อที่ดินที่มีความเสี่ยงเกิดภัยพิบัติ (เช่น พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก) ในราคาที่เป็นธรรม
4. มาตรการทางการเงิน: ทำ ประกันภัยพื้นที่น้ำท่วม และ การอุดหนุนดอกเบี้ย แก่สถาบันการเงิน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับซื้อบ้านในพื้นที่น้ำไม่ท่วม