ภาวะโลกร้อนเกิดจากการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจก (GHG) โดยประเทศไทยเป็นผู้ปล่อย GHG รายใหญ่อันดับที่ 24 ของโลก การปฏิบัติตาม ข้อตกลงปารีส พ.ศ. 2558 (Paris Agreement 2015) และแรงกดดันจากกฎระเบียบการค้าโลก (เช่น CBAM) ทำให้ไทยต้องปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวและสังคมคาร์บอนต่ำอย่างเร่งด่วน
นโยบาย Net-Zero ภายในปี 2050 นี้ จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประเทศอย่างมีอัตราเร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคพลังงาน ภาคเกษตร และการจัดการทรัพยากร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการเปลี่ยนผ่าน (Just Transition)
1. พันธะกรณีและแรงกดดันทางการค้า: แม้ไทยจะปล่อย GHG คิดเป็น 0.76% ของโลก แต่ต้องปฏิบัติตามพันธะกรณีระหว่างประเทศ และต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับกฎระเบียบสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นในตลาดโลก เช่น กลไกปรับคาร์บอนข้ามพรมแดน
2. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเร่งด่วน: การบรรลุเป้าหมาย Net-Zero ต้องการการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งใหญ่ในระยะ 15 ปีข้างหน้า ทั้งด้านเงินทุน, โครงสร้างพื้นฐาน, และการเฝ้าระวังผลกระทบต่อชุมชนและการเคลื่อนย้ายแรงงาน
3. ความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม: การไม่ดำเนินการจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง และทำให้ประเทศต้องแบกรับต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นในระยะยาว
พรรคประชาชนจะปรับเปลี่ยนเป้าหมายการปล่อย GHG สุทธิเป็นศูนย์ของไทยให้สำเร็จได้ภายใน ปี 2050 (พ.ศ. 2593) ผ่านการลดปริมาณการปล่อย GHG ใน 5 สาขาหลัก และใช้กลไกการดูดซับคาร์บอนจากธรรมชาติ
สาขาพลังงาน: ตั้งเป้าลดการปล่อยจาก 185.2 MtCO2eq ในปี 2019 ให้เหลือ 53.3 MtCO2eq ภายในปี 2050
สาขาคมนาคมขนส่ง: ตั้งเป้าลดการปล่อยจาก 76.8 MtCO2eq ในปี 2019 ให้เหลือ 33.0 MtCO2eq ภายในปี 2050
สาขาเกษตรและปศุสัตว์: ตั้งเป้าลดการปล่อยจาก 60.5 MtCO2eq ในปี 2019 ให้เหลือ 45.8 MtCO2eq ภายในปี 2050
สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรม: ตั้งเป้าลดการปล่อยจาก 38.0 MtCO2eq ในปี 2019 ให้เหลือ 29.9 MtCO2eq ภายในปี 2050
สาขาการจัดการของเสีย: ตั้งเป้าลดการปล่อยจาก 18.7 MtCO2eq ในปี 2019 ให้เหลือ 5.7 MtCO2eq ภายในปี 2050
***หมายเหตุ*** MtCO2eq ย่อมาจาก Million tonnes of Carbon Dioxide equivalent (ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า)
เป็นหน่วยมาตรฐานที่ใช้ในการวัดปริมาณการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก (GHG) ทั้งหมด โดยจะรวมก๊าซทุกชนิดที่มีผลต่อภาวะโลกร้อน (เช่น มีเทน, ไนตรัสออกไซด์) และแปลงค่าความรุนแรงของก๊าซเหล่านั้นให้เทียบเท่ากับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้สามารถรวมตัวเลขและเปรียบเทียบกันได้อย่างเป็นระบบ
พร้อมกันนี้ จะใช้ แนวคิดการแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นฐาน (Nature-based Solutions: NbS) โดยใช้ป่าบก (Green Carbon) และป่าชายเลน/ทรัพยากรทางทะเล (Blue Carbon) ในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอน ให้ได้ถึง 256.3 MtCO2eq ในปี 2050
1. ภาคพลังงาน
• ลดการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล ทุกประเภท: เพื่อแสดงเจตจำนงที่จะเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนที่เป็นธรรม
• เปิดตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรีและส่งเสริม Solar Cell: ปลดล็อกให้ประชาชนติดแผงโซลาร์เซลล์ด้วยระบบ Net-metering (หักลบหน่วยขาย/ซื้อ) เพื่อลดค่าไฟฟ้า และเปิดโอกาสให้ขายไฟฟ้าส่วนเกินคืนแก่รัฐในราคาตลาด หรือขายให้ภาคธุรกิจในราคาที่สูงขึ้น
• ปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหิน: ลดการผลิตพลังงานจากถ่านหิน 70% ภายในปี 2030 และ เลิกโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมดในปี 2040
• ศึกษาการใช้เทคโนโลยีใหม่: ศึกษาแนวทางเลือกที่มีศักยภาพ เช่น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) และพลังงานจากไฮโดรเจน เพื่อประเมินข้อดี ข้อเสีย ความเป็นไปได้ และ/หรือความเหมาะสม/ไม่เหมาะสม ในการดำเนินงาน
2. ภาคเกษตร
• ส่งเสริมปลูกข้าวที่ใช้น้ำน้อย: สนับสนุนการปลูกข้าวในวิธีการที่ใช้น้ำน้อย เช่น การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน (CH4) ลง 80% โดยสนับสนุนงบประมาณสำหรับการปรับพื้นที่และการตลาด
• ส่งเสริมหญ้าเนเปียร์ในนาข้าว: ส่งเสริมการปลูกหญ้าเนเปียร์ในแปลงนาแบบเปียกสลับแห้ง ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำ (24-40%) ลดต้นทุน และ ลด CH4 ได้ 80%
3. ภาคอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์
• สร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ: สร้าง ‘เศรษฐกิจสีเขียว’ และ ‘งานสีเขียว’ โดยให้เครดิตภาษีสำหรับการลงทุนในพลังงานสะอาดแก่ภาคเอกชน
• ส่งเสริมระบบนิเวศการรีไซเคิล: ส่งเสริมระบบนิเวศของการรีไซเคิลโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ทั้งแบบดั้งเดิมและแบบอัดประจุใหม่
• โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในอุตสาหกรรม: จัดตั้งโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในโรงงานขนาดใหญ่ เช่น โรงงานผลิตปูนซีเมนต์และกระดาษ
4. ภาคของเสีย
• ปฏิวัติหลุมฝังกลบ: ปฏิวัติหลุมฝังกลบแบบเทกองกว่า 2,000 บ่อให้ได้มาตรฐาน และผลิต ก๊าซธรรมชาติ (Biogas) จากหลุมฝังกลบ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในชุมชน
• ระบบนิเวศธุรกิจสีเขียว (Circular Economy): อุดหนุนท้องถิ่นจัดทำระบบการผลิต ปุ๋ยอินทรีย์จากเศษอาหารในระดับอุตสาหกรรม
• โรงไฟฟ้าจากขยะ (RDF): เพิ่มงบประมาณให้ อปท. สามารถจัดซื้อเครื่องกำจัดขยะที่มีประสิทธิภาพสำหรับโรงไฟฟ้าผลิตเชื้อเพลิงจากขยะ
5. ภาคป่าไม้ และการใช้ประโยชน์ที่ดิน
• เพิ่มพื้นที่ป่า Green Carbon: เพิ่มพื้นที่ป่า 1 ล้านไร่ ภายใน 4 ปี ผ่านการส่งเสริมการปลูกไม้ยืนต้น
• ส่งเสริมไบโอชาร์: ส่งเสริมภาคเกษตรให้ช่วยดูดซับคาร์บอนส่วนเกิน โดยการส่งเสริมการใช้ ไบโอชาร์ลงดิน ไร่ละ 2 ตัน และการใช้ในฟาร์มปศุสัตว์
• ส่งเสริม Blue Carbon Economy: ดึงดูดเงินทุนจากภาคเอกชนเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล ผ่านเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ เช่น พันธบัตรสีน้ำเงิน (Blue Bonds) และ การเก็บค่าจัดการทรัพยากรโดยท้องถิ่น (PES) เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย 30x30 (ปกป้องพื้นที่ธรรมชาติอย่างน้อย 30% ของโลกภายในปี 2030)