ปฏิรูปการดูแลสุขภาพจิตคนไทย

ปฏิรูปการดูแลสุขภาพจิตคนไทย
สุขภาพจิต
จิตเวชฉุกเฉิน
แนวหน้าสุขภาพจิต
Social Prescribing
สุขภาพใจ

ทำไมต้องปฏิรูปการดูแลสุขภาพจิตคนไทย? (WHY)

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ "วิกฤตสุขภาพจิต" ที่ส่งผลกระทบต่อประชากรในทุกช่วงวัย แม้จะมีผู้ต้องการรับบริการสะสมกว่า 3.5 ล้านคน แต่ระบบกลับรองรับได้เพียงครึ่งหนึ่ง เราพบว่าระบบบริการสุขภาพจิตในปัจจุบันมี "คอขวด" หลายจุด ที่ทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึงบริการที่มีคุณภาพอย่างทันท่วงที:

1. คอขวดความรู้ด้านสุขภาพจิต: ประชาชนทั่วไปยังขาดความรู้ความตระหนักด้านสุขภาพจิต ไม่รู้จักอาการหรือภาวะจิตเวช และมีการ ตีตรา (Stigma) ผู้ป่วยจิตเวช ทำให้กลุ่มเสี่ยงพลาดโอกาสที่จะดูแลตัวเองหรือเข้าสู่บริการตั้งแต่เนิ่น ๆ

2. คอขวดการผลิตผู้ให้บริการ:

  • ขาดแคลนจิตแพทย์รุนแรง: ประเทศไทยมีจิตแพทย์ไม่ถึง 1,000 คน จากอัตราที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำคือ 6,500 คน และผลิตได้ปีละไม่ถึง 100 คน
  • ขาดนักจิตวิทยา: นักจิตวิทยาและนักบำบัดทางจิตสังคมก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากขาดระบบฝึกอบรมภาคปฏิบัติและการนิเทศติดตาม

3. คอขวดระบบบริการที่ต้องพบจิตแพทย์เป็นด่านแรก: ผู้รับบริการต้องผ่านการวินิจฉัยจากจิตแพทย์ในโรงพยาบาลก่อน ทำให้ต้อง รอคิวนาน เดินทางไกล และมีโอกาสสูงที่จะหลุดออกจากระบบบริการ เนื่องจากจิตแพทย์มีจำนวนจำกัดและกระจุกตัวอยู่ในบางพื้นที่

4. คอขวดการคืนผู้ป่วยสู่สังคม: ขาดกลไกหรือกระบวนการที่ชัดเจนในการช่วยผู้ป่วยที่ผ่านการบำบัดฟื้นฟูสุขภาพจิต ให้กลับสู่สังคมและการทำงาน (เช่น การให้ความรู้แก่เพื่อนร่วมงานหรือนายจ้าง)

 

พรรคประชาชนจะทำอะไร? (WHAT)

พรรคประชาชนจะทลายคอขวดเหล่านี้ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพจิตที่แข็งแรง กลุ่มเสี่ยงได้รับการดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถหลุดพ้นจากวงจรความเจ็บป่วยและฟื้นคืนสู่สังคม ด้วยมาตรการหลักดังนี้:

1. เพิ่มความรอบรู้สุขภาพจิตในชุมชน: ให้ แนวหน้าสุขภาพจิต (อสม.เชี่ยวชาญ) ทำกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพจิตและเป็น "เพื่อนดูแลใจ" เพื่อลดการตีตราผู้ป่วยในชุมชน

2. เพิ่มแนวหน้าสุขภาพจิต

  • จ้างงานใหม่: ผลิตและจ้างแนวหน้าสุขภาพจิตประจำชุมชน จ้างนักจิตวิทยาและสังคมบำบัดในโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพจิตชุมชน
  • ยกระดับบุคลากรเดิม: พัฒนาศักยภาพบุคลากรการแพทย์ฉุกเฉินให้มีทักษะ จิตเวชฉุกเฉิน ร่วมให้บริการสายด่วน 1669

3. เปลี่ยนระบบการรับบริการ จากที่ต้องเจอจิตแพทย์ในโรงพยาบาลเป็นด่านแรก สู่การพบแพทย์และ/หรือนักจิตวิทยาที่ หน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ เป็นด่านแรกแทน โดยข้อมูลการให้บริการต้องเชื่อมโยง เป็นส่วนตัว และปลอดภัย

4. สร้างกลไกการบำบัดฟื้นฟูที่ยั่งยืน: พัฒนานวัตกรรมการ สั่งจ่ายทางสังคม (Social Prescribing) เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยาจิตใจและการคืนผู้ป่วยสู่สังคม (เช่น การสั่งจ่ายกิจกรรมลดความเศร้าด้วยการเดินป่า ลดความเหงาด้วยกิจกรรมอาสาสมัคร)

 

ทำอย่างไรให้สำเร็จ? (HOW)

1. ผลิตแนวหน้าสุขภาพจิต ต่อยอด อสม.เชี่ยวชาญ: ผลิตและจ้างดำเนินงาน 40,000 คน เพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพจิตในชุมชนร่วมกับหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ งบประมาณ 3,890 ล้านบาท

2. เพิ่มการเข้าถึงบริการปฐมภูมิ เพื่อเป็นด่านแรกแทนแพทย์: ใช้กลไก คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ ปรับระบบการเข้าถึงบริการ โดยให้ หน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ เป็นผู้คัดกรองและส่งต่อผู้ป่วย 

3. ส่งเสริมและจ้างจิตแพทย์ทุกจังหวัด และ จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาคลินิกประจำโรงพยาบาลชุมชนทุกแห่ง ด้วยการเพิ่มหน่วยฝึกอบรมระดับภูมิภาค และโครงการสนับสนุนการเก็บชั่วโมงปฏิบัติงานในพื้นที่ขาดแคลน 

4. พัฒนาระบบจิตเวชฉุกเฉิน: เพิ่มทักษะผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินให้สามารถดูแลกรณีจิตเวชฉุกเฉิน (เช่น ผู้ป่วยที่กำลังฆ่าตัวตาย หรือ SMI-V) เพื่อเข้าเผชิญเหตุและส่งต่อผู้ป่วยเข้าสู่บริการที่เหมาะสม

5. สร้างความมั่นคงวิชาชีพจิตสังคมบำบัด: สนับสนุนการยกร่าง พ.ร.บ. วิชาชีพนักจิตสังคมบำบัด เพื่อทำหน้าที่ในการขึ้นทะเบียนผู้ให้บริการสุขภาพจิตสาขาต่าง ๆ และกำกับควบคุมมาตรฐานและคุณภาพ

6. เพิ่มกลไกบำบัดฟื้นฟูและคืนสู่สังคม:

  • พัฒนาศูนย์สุขภาพจิตชุมชน 200 แห่ง ให้เป็นหน่วยให้บริการคำปรึกษา ประเมินทางจิต และ สั่งจ่ายกิจกรรมทางสังคม
  • ร่วมกับกระทรวง อว. และ สสส. วิจัยและพัฒนารูปแบบการสั่งจ่ายกิจกรรมทางสังคม (Social Prescribing) ร่วมกับระบบบริการสุขภาพจิต ทั้งเพื่อป้องกัน ฟื้นฟู และคืนผู้ป่วยสู่สังคมและการทำงาน ใช้งบประมาณ​ปีละ 10 ล้านบาท