พัฒนาระบบดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care): เพื่อวาระสุดท้ายที่มีคุณภาพ

พัฒนาระบบดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care): เพื่อวาระสุดท้ายที่มีคุณภาพ

ทำไมต้องผลักดันการดูแลแบบประคับประคองอย่างจริงจัง? (WHY)

แม้ประเทศไทยมีแนวทางการดูแลแบบประคับประคองแล้ว แต่ในทางปฏิบัติ ยังมีปัญหาที่ผู้ป่วยและครอบครัวยังต้องเผชิญ:

  1. การเข้าถึงบริการต่ำ: ในปี 2568 มีผู้เสียชีวิตที่เข้าถึงการดูแลแบบประคับประคองเพียงประมาณ ร้อยละ 50 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด และในกลุ่ม ผู้ป่วยเด็ก การเข้าถึงยิ่งต่ำลงเหลือเพียง ร้อยละ 16

  2. โครงสร้างพื้นฐานมีปัญหา

    • ขาดแคลนแพทย์ พยาบาล และสหวิชาชีพในกลุ่มงานเวชศาสตร์ประคับประคอง รวมถึงหอดูแลผู้ป่วยระยะท้ายในโรงพยาบาล

    • ระบบสุขภาพปฐมภูมิขาดความรู้และทักษะในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงระยะท้ายในชุมชน 

    • ประชาชนและท้องถิ่นยังขาดความรู้ความตระหนักในการมีส่วนร่วมดูแลวาระสุดท้ายที่บ้านและชุมชน

 

พรรคประชาชนจะทำอะไร? (WHAT)

พรรคประชาชนมีข้อเสนอในการสร้างระบบการดูแลวาระสุดท้ายที่มีคุณภาพและครอบคลุม ดังนี้:

  1. เพิ่มกำลังคนและโครงสร้างดูแลผู้ป่วยระยะท้าย: ผลักดันกรอบอัตรากำลังแพทย์ พยาบาล เภสัช และสหวิชาชีพในกลุ่มงานเวชศาสตร์ประคับประคองในโรงพยาบาลทุกระดับ พร้อมทั้งฝึกอบรมทีมสุขภาพปฐมภูมิให้ดูแลผู้ป่วยที่บ้านและชุมชนร่วมกับเครือข่ายโรงพยาบาล

  2. ออกแบบนโยบาย: จัดทำ แผนยุทธศาสตร์ระดับชาติว่าด้วยการเสริมสร้างสุขภาวะในระยะท้ายของชีวิต ร่วมกับภาคีเครือข่าย เพื่อออกแบบนโยบายสนับสนุนทั้งด้านบุคลากร งบประมาณ การบริการ และกฎหมาย

  3. สนับสนุนระบบดูแลผู้ดูแลและชุมชน: สนับสนุนการฝึกอบรม นักบริบาล (Caregiver) และ ผู้จัดการดูแล (Care manager) ให้มีความรู้และสมรรถนะทางใจในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย การตาย และความสูญเสีย พร้อมทั้งสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการสร้างเสริมการดูแลแบบประคับประคองโดยชุมชน

ทำอย่างไรให้สำเร็จ? (HOW)

  1. เพิ่มกำลังคนและโครงสร้างพื้นฐาน:

    • เพิ่มกรอบกำลังคนเวชศาสตร์ประคับประคองในหน่วยบริการทุกระดับ จำนวน 3,600 คน (งบประมาณ 1,000 ล้านบาท/ปี)

    • จัดตั้ง หอบริบาลผู้ป่วยระยะท้าย (Palliative Ward) ในโรงพยาบาลทุติยภูมิขึ้นไป จำนวน 900 แห่ง (รวม 4,500 เตียง) เพื่อเป็นหน่วยหลักในการดูแลต่อเนื่องที่บ้านและให้คำปรึกษา

  2. จัดทำยุทธศาสตร์ว่าด้วยการเสริมสร้างสุขภาวะระยะท้าย ฉบับที่ 2 (2569 - 2573) ร่วมกับสำนักงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติและภาคีเครือข่าย เพื่อให้ครอบคลุมทุกด้าน (บุคลากร งบประมาณ กฎหมาย ยา)

  3. จัดตั้ง หน่วยงานบูรณาการงานดูแลสุขภาวะระยะท้ายของชีวิต ในกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นเจ้าภาพด้านข้อมูลและการขับเคลื่อน

  4. พัฒนาระบบการวางแผนดูแลล่วงหน้า (Advance Care Planning):

    • จัดทำแนวทางการดูแลผู้ป่วยในระยะประคับประคองในระบบการฝึกอบรมทักษะนักบริบาลทุกประเภท

    • ให้นักบริบาลจัดทำ แผนดูแลล่วงหน้า (Advance Care Plan) ให้ผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงทุกคน และเชื่อมโยงข้อมูลกับ ฐานข้อมูล e-living will ที่โรงพยาบาลทุกแห่งเข้าถึงได้

  5. เสริมสร้างศักยภาพแพทย์และทีมสุขภาพปฐมภูมิ ให้มีทักษะการดูแลแบบประคับประคองเบื้องต้น และเชื่อมโยงกับระบบสนับสนุนจากหน่วยประคับประคองในโรงพยาบาลได้อย่างมีคุณภาพ

  6. ใช้กองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) สนับสนุนการพัฒนาแหล่งเรียนรู้การดูแลผู้สูงอายุ ผู้มีภาวะพึ่งพิง และผู้ป่วยระยะท้าย สำหรับผู้ป่วย ผู้ดูแล และประชาชน จำนวน 20,000 โครงการ ภายใน 4 ปี

  7. พัฒนาโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำแนวทางการ จบชีวิตผู้ป่วยระยะสุดท้ายด้วยความช่วยเหลือทางการแพทย์ (Medical Assistance in Dying) ในโรงเรียนแพทย์ที่มีความพร้อม