อัตราแพทย์ต่อประชากรต่ำและกระจุกตัว:
ประเทศไทยมีจำนวนแพทย์โดยเฉลี่ยเพื่อดูแลประชากรทุก ๆ 1,000 คน เพียง 0.8 คน (สถานการณ์ยิ่งหนักสำหรับแพทย์ภาครัฐที่มีสัดส่วนเพียง 0.5 คน) ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียที่ 2.3 คน และยุโรปที่ 3.7 คน
แพทย์เฉพาะทางกว่า 40% อยู่ในกรุงเทพฯ ส่วนโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) ทั่วประเทศ มีแพทย์ปฏิบัติงานเพียง 8,825 คน จาก รพช. 770 แห่ง
ขาดแคลนแพทย์สาขายุทธศาสตร์: แม้จะผลิตแพทย์เพิ่มขึ้นได้ปีละ 3,000 คนต่อปี แต่สาขาที่ขาดแคลนหนักสุด เช่น เวชศาสตร์ครอบครัว จิตเวช เวชศาสตร์ฉุกเฉิน กลับผลิตได้น้อยมาก
ภาระงานหนักและผลตอบแทนไม่สมดุล:
แพทย์ต้องแบกรับภาระงานหนัก ใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลเฉลี่ยประมาณ 64 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และเพิ่มเติมด้วยเวร On Call อีกประมาณ 24 ชั่วโมง
ภาระงานหนัก แต่ผลตอบแทน สวัสดิการ ความก้าวหน้าทางอาชีพ ไม่ตอบโจทย์ แพทย์จำนวนมากจึงตัดสินใจออกจากระบบ ในช่วง 10 ปี (2556–2565) มีแพทย์ลาออกและเกษียณรวม 6,550 คน หรือหายไปถึง 20% ของแพทย์ที่ผลิตได้
พรรคประชาชนจะสร้างความมั่นคงด้านกำลังคนสุขภาพ ผ่านการปรับโครงสร้างค่าตอบแทน และการลดภาระงาน:
สร้างกลไกการกำกับนโยบายกำลังคนด้านสาธารณสุข วางยุทธศาสตร์ใหม่และแผนการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่เหมาะสม
ปรับโครงสร้างค่าตอบแทนให้ สอดคล้องกับภาระงาน ค่าครองชีพ ความเสี่ยง และความก้าวหน้าทางอาชีพ
ลดภาระงานที่ไม่จำเป็นออกทั้งหมด
เพิ่มอัตรากำลังคนด้านสุขภาพให้เพียงพอ
ยกร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สำนักงานกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ
ให้เป็นหน่วยงานถาวร ทำหน้าที่กำหนดสัดส่วนกำลังคนสุขภาพที่เหมาะสม แผนงบประมาณ แผนการผลิต ผลตอบแทน และเกณฑ์ประเมิน ตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงเกษียณ
สร้างฐานข้อมูลบุคลากรทางการแพทย์ (Central Healthcare Workforce Database) เพื่อใช้ในการวางแผนและกำกับดูแลบุคลากร
สนับสนุนกฎหมายจำกัดชั่วโมงทำงานของบุคลากรสุขภาพ ไม่เกิน 60 ชม./สัปดาห์
หลังทำงานกะดึกหรือทำงานติดต่อกัน 24 ชม. ต้องได้หยุดงานอย่างน้อย 8 ชม. เพื่อให้มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ
ทุกสัปดาห์ต้องมีวันหยุดเต็มวัน เว้นแต่กรณีฉุกเฉินเร่งด่วน
ปรับโครงสร้างค่าตอบแทนและสวัสดิการ:
เพิ่มสัดส่วนค่าตอบแทนแบบ Pay for Performance และให้เสียภาษีตามมาตรา 40(6) เช่นเดียวกับภาคเอกชน
ใช้ งบพิเศษ เช่น พ.ต.ส. หรือ ฉ.11 เพื่อกระตุ้นและรักษาบุคลากรในพื้นที่ขาดแคลน และปรับเบี้ยกันดารตามอัตราเงินเฟ้อ
เพิ่มทุนการศึกษาและ/หรือเส้นทางการศึกษาต่อเฉพาะทาง สำหรับนักเรียนและแพทย์ที่ทำงานหรือจะมาทำงานในพื้นที่ที่มีความขาดแคลนบุคลากรพิเศษ โดยอาจใช้งบประมาณร่วมกันระหว่างรัฐบาลและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และ/หรือโรงเรียนแพทย์ในภูมิภาค
เพิ่มอัตราบรรจุข้าราชการ ลดสถานะลูกจ้างชั่วคราว และดึงแพทย์เกษียณที่ยังต้องการทำงานกลับมาในพื้นที่ท้องถิ่นและหน่วยบริการปฐมภูมิ
ลดภาระงานเอกสารและระเบียบธุรการที่ไม่จำเป็น ปรับปรุง/ลดตัวชี้วัด (KPI) ให้เหมาะสมกับภารกิจหลัก โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย
สร้างแนวหน้าสุขภาพและสนับสนุนการผลิตเฉพาะทาง:
สร้าง ทีมแนวหน้าสุขภาพ (Health Frontline) 100,000 ตำแหน่ง เพื่อกระจายภาระงานไปยังชุมชน
สนับสนุนงบประมาณการเรียนต่อเฉพาะทางในสาขาที่ขาดแคลนและเป็นสาขายุทธศาสตร์ (เช่น เวชศาสตร์ครอบครัว, จิตแพทย์) รวมทั้งเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลตติยภูมิให้สามารถผลิตแพทย์ได้