แม้ว่า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ บัตรทอง ของประเทศไทย จะเป็นความสำเร็จที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างครอบคลุม แต่ปัจจุบันระบบกำลังเผชิญกับวิกฤตหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้รับบริการและผู้ให้บริการ
วิกฤตคุณภาพบริการและความเสี่ยงขาดทุน:
ลดต้นทุน เสี่ยงลดคุณภาพบริการ: โรงพยาบาลและหน่วยบริการคู่สัญญาได้รับค่าชดเชยบริการเฉลี่ยจาก สปสช. ต่ำกว่าต้นทุน กระทบต่อสภาพคล่องของโรงพยาบาล นำไปสู่ความเสี่ยงในการ ลดคุณภาพการบริการ
คลินิกพรีเมียมสร้างความเหลื่อมล้ำ: โรงพยาบาลจัดบริการคลินิกพรีเมียมเพื่อหารายได้ชดเชยการขาดทุน ทำให้โรงพยาบาลใช้ทรัพยากรภาครัฐไปจัดบริการให้กลุ่มที่มีฐานะดี ยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำในระบบบริการสุขภาพ
บุคลากรลาออก: บุคลากรสุขภาพในภาครัฐประสบ ความเครียดและหมดไฟ เนื่องจากค่าตอบแทนและสวัสดิการไม่สมดุลกับภาระงาน
หน่วยบริการถอนตัว: หน่วยบริการเอกชน หน่วยบริการปฐมภูมิ (คลินิกชุมชนอบอุ่น) หรือหน่วยนวัตกรรมคู่สัญญา ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์หรือประกาศจ่ายย้อนหลังที่คาดการณ์ได้ยาก จึงถอนตัวจากเครือข่ายบัตรทอง ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้สิทธิ์
สิทธิประโยชน์ไม่สมเหตุสมผล: ชุดสิทธิประโยชน์หลักที่มีความจำเป็น (เช่น ค่าผ่าตัด ค่าดูแลผู้ป่วยใน) สปสช. จ่ายให้น้อยและไม่ครอบคลุมต้นทุน ขณะที่สิทธิประโยชน์บางอย่างถูกวิจารณ์ว่าไม่มีความจำเป็น
เพื่อเร่งฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบบัตรทอง พรรคประชาชนเสนอมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการดังนี้:
เพิ่มงบประมาณที่จำเป็น: เพิ่มงบประมาณลงทุนในระบบบริการสุขภาพ โดยเฉพาะส่วน สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และการเพิ่มคุณภาพการบริการที่หน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ เช่น รพ.สต. หรือศูนย์บริการสาธารณสุข
สนับสนุนการวิจัยและศึกษาต้นทุนที่แท้จริงของการจัดบริการ: เพื่อให้การจัดทำงบประมาณสอดคล้องกับต้นทุน โดยคำนึงถึงความแตกต่างของพื้นที่และโครงสร้างประชากร
สนับสนุนบริการเชิงคุณค่า (High Value): สนับสนุนบริการและการจ่ายบริการชุดสิทธิประโยชน์ที่มี คุณค่าสูง เช่น การฟื้นฟูสุขภาพและการดูแลต่อเนื่อง พร้อมๆ กับการ ตัดลด สิทธิประโยชน์ที่ไม่จำเป็นหรือให้คุณค่าต่ำ
ปรับปรุงระบบการจ่ายเงินให้รวดเร็ว: ปรับปรุงประสิทธิภาพการตรวจสอบความถูกต้องและการเบิกค่าใช้จ่ายให้รวดเร็วใกล้เคียงการจ่ายแบบ Real Time เพื่อลดความไม่แน่นอนและการเรียกคืนค่าชดเชยบริการย้อนหลัง
สื่อสารสิทธิประโยชน์ของบัตรทองอย่างตรงไปตรงมา: เพื่อปรับความคาดหวังของประชาชนให้ใกล้เคียงกับศักยภาพที่ระบบทำได้
เพิ่มความโปร่งใสและการถ่วงดุล: ปรับปรุงระบบควบคุมกำกับหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดย:
ปรับองค์ประกอบและสัดส่วนคณะกรรมการ ให้สะท้อนผู้มีส่วนได้เสียในระบบทุกกลุ่ม
กำหนดวาระและลดบทบาทที่ทับซ้อนของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ให้กรรมการเป็นทั้งผู้กำหนดนโยบายและผู้ดำเนินงาน
เปิดเผยข้อมูลบุคคลของคณะกรรมการ ช่วยในการตรวจสอบประโยชน์ทับซ้อน และเปิดเผยข้อมูลวิชาการประกอบการตัดสินใจปรับปรุงชุดสิทธิประโยชน์
พรรคประชาชนจะดำเนินการผ่านการแก้ไขกฎหมายหลักและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี:
แก้ไข พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
แก้ไของค์ประกอบคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพิ่มสัดส่วนผู้ให้บริการ ภาคประชาชน และคณะกรรมการจากพื้นที่ (อปสข.) เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการงบประมาณ
กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง และเปิดเผยข้อมูลคณะกรรมการที่อาจกระทบกับการกำหนดนโยบายสุขภาพ
เพิ่มงบประมาณเพื่อคุณภาพ จัดงบประมาณเพิ่มเติมอย่างน้อย 17,000 ล้านบาท สำหรับผู้ป่วยใน (อัตราไม่ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อ AdjRW) พร้อมเพิ่มสัดส่วนงบเพื่อ สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และงบพัฒนาคุณภาพการบริการที่หน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ
วิจัยศึกษาต้นทุนการให้บริการ และประเมินผลความคุ้มค่าของชุดสิทธิประโยชน์ โดยใช้ประโยชน์จาก พ.ร.บ. ระบบข้อมูลสุขภาพดิจิทัล, National Clearing House และ เทคโนโลยี AI มาคำนวณต้นทุนการจัดบริการที่แม่นยำ คำนึงถึงความแตกต่างของพื้นที่และโครงสร้างประชากร
ยุติการประกาศเกณฑ์การจ่ายที่ให้ผลย้อนหลัง เมื่อสปสช.กำหนดเกณฑ์การจ่ายแล้ว ให้ยึดเกณฑ์การจ่ายนั้นตลอดปีงบประมาณ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเบิกจ่าย และควรมีระบบ buffer รองรับกรณีคาดการณ์ค่าใช้จ่ายคลาดเคลื่อน
เปิดเผยข้อมูลและการมีส่วนร่วม สนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง และการจัดทำ/ปรับปรุง/ตัดชุดสิทธิประโยชน์ โดยทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมแสดงความเห็น และมีข้อมูลวิชาการประกอบการตัดสินใจ
สื่อสารชุดสิทธิประโยชน์ ให้ประชาชนรับทราบอย่างชัดเจนผ่าน สมุดพกสุขภาพ (Personal Health Record application)