ปัจจุบันประเทศไทยมีระบบสุขภาพหลัก 3 กองทุน (บัตรทอง, ประกันสังคม, ข้าราชการ) ซึ่งแม้ว่าเงินที่ใช้จ่ายชดเชยค่าบริการส่วนใหญ่จะมาจากภาษีประชาชนเหมือนกัน แต่ประชาชนที่ใช้สิทธิในแต่ละกลุ่มกลับได้รับการปฏิบัติและสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างมาก ส่งผลให้เกิดวิกฤตที่คุกคามระบบสุขภาพ 3 ประการ:
1. วิกฤตความยั่งยืนและการคลังสาธารณสุข:
- การใช้จ่ายเกินจำเป็น: สิทธิ์ข้าราชการมีค่าใช้จ่ายรายหัวสูงกว่าสิทธิ์บัตรทองถึง 4 เท่า เนื่องจากการจ่ายเงินแบบปลายเปิด จูงใจให้เกิดการใช้บริการเกินความจำเป็นและใช้ยานอกบัญชีในสัดส่วนที่สูง
- ปรากฏการณ์ "โรบินฮูด": โรงพยาบาลรัฐต้องใช้ประโยชน์จากสิทธิ์ข้าราชการในการหารายได้มาชดเชยการขาดทุนจากสิทธิ์อื่น ซึ่งแม้จะพยุงฐานะการเงินในระยะสั้นได้ แต่คุกคามความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว
2. วิกฤตคุณภาพบริการและบุคลากร (สมองไหล):
- ค่าชดเชยต่ำกว่าต้นทุน: สิทธิ์บัตรทองถูกกำหนดงบประมาณแบบปลายปิด แต่ถูกกดดันให้ขยายสิทธิประโยชน์ ทำให้โรงพยาบาลได้รับค่าชดเชยต่ำกว่าต้นทุนจริง
- เสี่ยงลดคุณภาพบริการ: โรงพยาบาลจึงต้อง "รีดเค้นศักยภาพ" นำไปสู่ภาวะ สมองไหล ของบุคลากรทางการแพทย์ที่ลาออก เสี่ยงที่คุณภาพบริการจะลดลง โรงพยาบาลอาจต้องเปิดคลินิกพิเศษเพื่อหารายได้เพิ่ม ซึ่งยิ่งซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ
3. วิกฤตความเป็นธรรมของผู้จ่ายเงินสมทบ: ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมได้รับสิทธิประโยชน์หลายรายการ ด้อยกว่า กองทุนบัตรทองที่รัฐออกให้ทั้งหมด ทั้งที่ต้องจ่ายเงินสมทบทุกเดือน เช่น สิทธิทันตกรรมที่จำกัดวงเงิน ข้อจำกัดในการเข้าถึงการสร้างเสริมสุขภาพ การดูแลระยะยาว และหน่วยนวัตกรรมต่าง ๆ
เพื่อสร้างความเป็นธรรมและความยั่งยืนให้กับระบบสุขภาพไทย พรรคประชาชนจะสร้าง "ชุดสิทธิประโยชน์สุขภาพขั้นพื้นฐาน" (Basic Health Benefit Package) ที่มีมาตรฐานเดียวกันสำหรับคนไทยทุกคน โดยแบ่งโครงสร้างสิทธิประโยชน์ออกเป็น 3 ชั้น เพื่อความยั่งยืนและครอบคลุม:
ชั้นที่ 1: ชุดสิทธิประโยชน์สุขภาพขั้นพื้นฐาน (Core Package):
กำหนดชุดสิทธิประโยชน์มาตรฐาน ที่จำเป็นในการรักษาและป้องกันโรค ทุกกองทุนต้องให้ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานนี้
เช่น รักษาโรคร้ายแรง, ทันตกรรม, การแพทย์ฉุกเฉิน, ฟื้นฟูสมรรถภาพ
ชั้นที่ 2: ส่วนเสริมโดยนายจ้าง (Top Up): กำหนดชุดสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่หน่วยงานรัฐ (กรมบัญชีกลาง) ในฐานะนายจ้างของข้าราชการ หรือสำนักงานประกันสังคม จ่ายสมทบเพิ่มให้เป็นสวัสดิการ
ชั้นที่ 3: ส่วนเสริมส่วนบุคคล (Private Insurance): ประชาชนซื้อประกันสุขภาพเอกชนเพิ่มเติมเอง สำหรับความต้องการพิเศษที่เกินกว่าสิทธิพื้นฐาน
เพื่อให้เกิดชุดสิทธิประโยชน์ทางสุขภาพที่เป็นมาตรฐานเดียวกันและการบริหารจัดการที่โปร่งใส พรรคประชาชนมีแนวทางดำเนินการดังนี้:
1. ตั้งคณะกรรมการกำหนดมาตรฐาน:
ปรับปรุง พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เพื่อจัดตั้ง คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานชุดสิทธิประโยชน์สุขภาพขั้นพื้นฐาน
โดยมีตัวแทนจากทั้ง 3 กองทุน ผู้ให้บริการ ฝ่ายวิชาการ และภาคประชาชน
2. จัดตั้ง National Clearing House (NCH):
เป็น หน่วยงานกลางจัดการข้อมูลและธุรกรรมการเบิกจ่ายเงิน เพื่อให้มีระบบฐานข้อมูลเดียว และตรวจสอบการเบิกจ่ายได้อย่างถูกต้องและคุ้มค่า
NCH จะให้ข้อมูลในการกำหนด ราคาค่าบริการสุขภาพที่เป็นธรรม สำหรับทุกโรงพยาบาลและทุกกองทุน ทำให้โรงพยาบาลได้รับค่าบริการที่สอดคล้องกับต้นทุน ไม่ต้องรีดเค้นศักยภาพหรือลดคุณภาพการบริการ
3. บริหารยาและเวชภัณฑ์ร่วมกัน: รวมการซื้อยาและเวชภัณฑ์ (Collective Purchasing) ของทั้ง 3 กองทุน เพื่อให้มีอำนาจต่อรองราคาสูงขึ้น และได้ยาคุณภาพดีในราคาที่ถูกลง
4. เปิดช่องทางประกันสุขภาพส่วนเสริม (Top-up): อนุญาตให้นายจ้างหรือบริษัทประกันเอกชนเสนอแพ็กเกจเสริมสำหรับบริการที่อยู่นอกเหนือชุดพื้นฐาน (เช่น ห้องพิเศษ ยานอกบัญชีบางประเภท การตรวจสุขภาพเพิ่ม) เพื่อความยืดหยุ่นและช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณภาครัฐ