ยุติมลพิษผ่านสายน้ำข้ามแดน

ยุติมลพิษผ่านน้ำข้ามแดนด้วยระบบตรวจสอบย้อนกลับ ใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์เจรจาพหุภาคีเพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบ และยึดสุขภาพประชาชนเป็นหัวใจสำคัญ

ยุติมลพิษผ่านสายน้ำข้ามแดน

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

  1. วิกฤตแม่น้ำสายหลักปนเปื้อนโลหะหนัก: ตลอดปี 2567-2568 มีการตรวจพบสารหนู ตะกั่ว และปรอทเกินมาตรฐานในแม่น้ำกก สาย รวก โขง และสาละวิน กระทบระบบประปา การเกษตร คุณภาพชีวิต และการทำประมงอย่างรุนแรง ข้อมูลการตรวจพบสารพิษสะสมในร่างกายประชาชนสะท้อนถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงทั้งด้านการสื่อสารความเสี่ยง การแจ้งเตือนภัย การรับมือปัญหาภายในประเทศ รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอกับประเทศเพื่อนบ้านของภาครัฐ
  2. มลพิษจากห่วงโซ่เหมืองแร่ข้ามแดน: มลพิษเชื่อมโยงโดยตรงกับกิจกรรมเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้านที่ไหลผ่านลำน้ำสาขามาสะสมในไทย แต่การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำของรัฐไม่ต่อเนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากร ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในการป้องกันตนเอง ส่งผลให้ขาดความเชื่อมั่นต่อการจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐ รวมถึงการขาดกฎหมายภายในถึงการตรวจสอบที่มาของการนำเข้าแร่ที่สำคัญต่าง ๆ มายังประเทศไทย
  3. การบริหารจัดการที่ไร้บูรณาการ: แม้ผลกระทบด้านสุขภาพและเศรษฐกิจจะรุนแรงขึ้น แต่รัฐบาลยังขาดการใช้กลไกทางการทูตและพหุภาคี (เช่น ความร่วมมือระหว่างไทย จีน เมียนมา ลาว หรือกลไกลุ่มน้ำโขง) อย่างมีประสิทธิภาพในการจัดการต้นตอของมลพิษ ผลลัพธ์คือประชาชนต้องแบกรับต้นทุนความเสี่ยงเพียงลำพัง โดยที่รัฐไม่มีการจัดการปัญหาทั้งที่ต้นเหตุในต่างประเทศและปลายเหตุภายในประเทศด้วย

เราจะทำอะไร (WHAT)

เสนอให้ยกระดับปัญหามลพิษน้ำข้ามแดนและความมั่นคงของแร่ที่สำคัญ ให้เป็นนโยบายเชิงระบบของรัฐ โดยยึดถือความปลอดภัยของประชาชนเป็นศูนย์กลาง ผ่าน 2 แกนหลักที่ต้องดำเนินการควบคู่กัน:

  • แกนที่ 1: การจัดการภายในประเทศ มุ่งป้องกันและบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง พร้อมจัดระเบียบการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของแร่ที่สำคัญ โดยกำกับดูแลการนำเข้า-แปรรูป-ส่งออกอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเหล่านี้กลายเป็นการซ้ำเติมปัญหามลพิษที่ประชาชนต้องแบกรับ

  • แกนที่ 2: การจัดการระหว่างประเทศ: มุ่งแก้ปัญหาที่ต้นตอของมลพิษข้ามแดน ผ่านการเจรจาพหุภาคีและการกำหนดความรับผิดชอบร่วมของประเทศในลุ่มน้ำและห่วงโซ่เหมืองแร่ โดยใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็นฐาน ไม่ปล่อยให้การทูตเชิงสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงถ้อยแถลงที่ไร้ผลในทางปฏิบัติ

 

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

1. การจัดการภายในประเทศ: ป้องกัน บรรเทา และจัดระเบียบห่วงโซ่อุปทานของแร่

  • จัดทำระบบฐานข้อมูล รวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วน และเปิดเผยต่อประชาชน

    • จัดทำฐานข้อมูลกลาง ด้านมลพิษทางน้ำ เปิดเผยผลการตรวจคุณภาพน้ำ ดิน พืช สัตว์น้ำ และสุขภาพประชาชน ต่อสาธารณะในรูปแบบที่เข้าถึงและเข้าใจได้

    • จัดให้มีการตรวจคุณภาพ น้ำดิบ ตะกอนดิน น้ำประปา พืช สัตว์น้ำ และสุขภาพประชาชน อย่างต่อเนื่องและครอบคลุม ด้วยงบประมาณที่เหมาะสม เพิ่มจุดตรวจในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และอุปกรณ์การตรวจที่ได้รับมาตรฐานอย่างแท้จริง

    • กำหนดเกณฑ์การแจ้งเตือน และมาตรการป้องกันเชิงรุกอย่างชัดเจน เช่น ค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำที่ปลอดภัยและไม่ปลอดภัย ค่ามาตรฐานการบริโภคพืชและสัตว์น้ำ โดยระบุปริมาณและความถี่ที่เหมาะสมตามน้ำหนักตัวของผู้บริโภค เพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการป้องกันตนเองจากสารปนเปื้อน

    • จัดหาแหล่งน้ำทดแทนที่ปลอดภัย สำหรับการอุปโภค บริโภค และการเกษตร

    • จัดทำหลักเกณฑ์การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องแบกรับต้นทุนเพียงฝ่ายเดียว

  • จัดการบทบาทไทยในห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญ

    • ทบทวนการนำเข้า-แปรรูป-ส่งออกแร่ที่มีความเสี่ยงสูง ต่อการก่อมลพิษข้ามพรมแดน โดยกำหนดให้ระบุพิกัดเหมืองต้นทางที่ต้องการนำเข้า พร้อมกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบตลอดสายการผลิต

    • สร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับ สำหรับบริษัทผู้นำเข้าและส่งออกแร่ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสกัดกั้นแร่ที่ได้จากกระบวนการผลิตที่ไม่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

    • บูรณาการข้อมูลมลพิษเข้ากับนโยบายศุลกากรและการส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องไม่สร้างภาระต้นทุนด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมแก่ประชาชนต่อไปในอนาคต

2. การจัดการระหว่างประเทศ: แก้ปัญหาที่ต้นตอของมลพิษข้ามแดน

  • ยกระดับการทูตสิ่งแวดล้อม จากคำพูดสู่การลงมือทำ

    • ใช้ความร่วมมือพหุภาคี เช่น ไทย จีน เมียนมา ลาว และกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (LMC) เป็นกลไกหลักในการเจรจาแก้ปัญหามลพิษจากเหมืองแร่และอุตสาหกรรมต้นน้ำ

    • เน้นแผนปฏิบัติการที่จับต้องได้: กำหนดแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ที่มีกรอบเวลา ตัวชี้วัด และกลไกติดตามผลอย่างจริงจัง ไม่ปล่อยให้การเจรจาจบลงที่แผ่นกระดาษแถลงการณ์ที่ไร้ซึ่งผลลัพธ์

    • สร้างต้นแบบฐานข้อมูล: พัฒนาระบบฐานข้อมูลของไทยให้เป็นโมเดลสำหรับอาเซียน ตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและภาวะฉุกเฉิน (AADMER) และกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างด้านสิ่งแวดล้อม (LMEC)

  • ใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์เป็นฐานต่อรอง 

    • ใช้หลักฐานจริงเรียกร้องความรับผิดชอบ: นำผลตรวจคุณภาพน้ำ ดิน ผลผลิตทางการเกษตร และสถิติด้านสุขภาพของประชาชน มาใช้เป็นหลักฐานยืนยันเพื่อเรียกร้องความรับผิดจากประเทศต้นตอ รวมถึงการกำหนดค่ามาตรฐานสารโลหะหนักร่วม และการตรวจคุณภาพน้ำ ดิน ผลผลิตในต่างประเทศร่วมด้วยวิธีอ้างอิงเดียวกัน

    • สร้างอำนาจต่อรองผ่านห่วงโซ่เศรษฐกิจ: เชื่อมโยงมลพิษข้ามแดนเข้ากับข้อตกลงด้านแร่ พลังงาน และการค้า เพื่อสร้างน้ำหนักในการเจรจาให้เกิดผลในทางปฏิบัติ

  • ยึดถือคุณภาพชีวิตคนไทยเป็นลำดับแรก 

    • ปักหมุดจุดยืนไม่แลกสุขภาพกับตัวเลขเศรษฐกิจ: กำหนดนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศที่ชัดเจนว่า การพัฒนาเศรษฐกิจต้องไม่แลกด้วยความเสื่อมโทรมของทรัพยากร สิ่งแวดล้อม หรือสุขภาพของประชาชน

    • ยกระดับไทยสู่ผู้นำการจัดการมลพิษ: ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการจัดการมลพิษข้ามแดนของภูมิภาค ไม่ใช่เพียงผู้รับผลกระทบที่ไร้เสียงต่อรอง

    • ผลักดันวาระสู่สากล: ยกระดับปัญหาเข้าสู่การพิจารณาขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อสร้างมาตรฐานสากลในการปกป้องสุขภาพประชาชนจากมลพิษทางน้ำข้ามแดน ควบคู่กับปัญหามลพิษทางอากาศข้ามแดน