สร้างระบบการจัดการภัยพิบัติใหม่บนฐานความเสี่ยง

ยกระดับโครงสร้างการจัดการภัยพิบัติเชิงรุก จัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ ด้วยงบประมาณและความร่วมมือจากทุกระดับที่ตรงเป้า รื้อระบบการเตือนภัยฉุกเฉินทุกช่องทางของภัยแต่ละชนิด ยกระดับการบัญชาการเหตุการณ์ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่แม่นยำ และการกระจายอำนาจให้ท้องถิ

สร้างระบบการจัดการภัยพิบัติใหม่บนฐานความเสี่ยง

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

1. การจัดการภัยพิบัติที่ขาดความเข้าใจ: แม้รัฐจะมีกลไกการจัดการภัยพิบัติตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แต่การปฏิบัติงานจริง กลับดำเนินการแบบขาดความเข้าใจ และไม่เป็นไปตามกลไกของแผนที่ถูกวางไว้ การจัดการภัยพิบัติที่ผ่านมาถูกจัดการด้วยความสับสน และใช้กฎหมายที่ซ้ำซ้อน ทำให้เกิดปัญหาผู้บัญชาการเหตุการณ์หลายคน และยังเน้นการสั่งการจากส่วนกลาง ทำให้ท้องถิ่นขาดทรัพยากรในการจัดการภัยระดับพื้นที่ ขณะที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ยังไม่สามารถทำหน้าที่เป็นหน่วยงานบัญชาการหลักได้อย่างเต็มศักยภาพ งบประมาณส่วนใหญ่ของประเทศจากทุกหน่วยงานยังลงไปที่การก่อสร้างเพื่อซ่อมแซม (Hard Infrastructure) มากกว่าการลงทุนในระบบเตือนภัยและการจัดการโดยชุมชน อีกทั้งการจัดสรรงบประมาณยังไม่ได้คำนึงถึงการลดความเสี่ยงภัยพิบัติอีกด้วย

2. การแจ้งเตือนที่ "บอกให้รู้" แต่ "ไม่บอกให้รอด": แม้จะมีระบบ การส่งข้อความแจ้งเตือนภัยผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือ (Cell Broadcast) แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นเพียง "Informational Alert" (แจ้งข่าวสาร) ยังขาด "Emergency Alert" (การเตือนภัยฉุกเฉิน) ที่ระบุเวลา สถานที่ และแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ทำให้ประชาชนอพยพไม่ทันเวลา อีกทั้งยังขาดการแจ้งเตือนด้วยระบบอื่น ๆ ให้เต็มศักยภาพ ทั้งในส่วนของ หอเตือนภัย วิทยุ และโทรทัศน์

3. การบัญชาการที่ล่าช้าและระบบข้อมูลที่แยกส่วน: เมื่อเกิดเหตุจริง การตั้งศูนย์บัญชาการมักเกิดขึ้น "หลังเกิดภัย" ไม่ใช่ "ทันทีที่คาดว่าจะเกิดภัย" ตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 นอกจากนี้ การบัญชาการเหตุการณ์ยังขาดระบบฐานข้อมูลกลางในการระบุพิกัดผู้ขอความช่วยเหลือ เพื่อปฏิบัติการร่วมกับทีมกู้ภัยและมูลนิธิต่าง ๆ ทำให้การช่วยเหลือซ้ำซ้อนและตกหล่น 

4. ระบบเยียวยาที่ล้าสมัยและล่าช้า: การชดเชยความเสียหายยังพึ่งพาระบบเอกสารและการทำประชาคมหมู่บ้าน ซึ่งใช้เวลานานและเสี่ยงต่อการตกหล่น แทนที่จะใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมในการยืนยันพื้นที่เสียหายเพื่อโอนเงินเข้าบัญชีประชาชนโดยตรง แม้ระเบียบเปิดช่องให้จังหวัดออกแบบเกณฑ์เพิ่มเติมได้ แต่แทบไม่ถูกนำมาใช้ เพราะไม่ได้มีการเปิดช่องให้ท้องถิ่น รวมถึงภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความเห็น

 

เราจะทำอะไร (WHAT)

พรรคประชาชนเสนอให้มีการบริหารจัดการการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ใหม่ทั้งระบบ ตั้งแต่ขั้นเตรียมการก่อนเกิดเหตุ ขณะเผชิญเหตุ และหลังเกิดเหตุ โดยแบ่งระบบเป็น 4 ส่วน 

  1. ปฏิรูปโครงสร้างการจัดการภัยพิบัติและจัดทำแผนที่เสี่ยง

  2. รื้อระบบการแจ้งเตือนและเตรียมการก่อนเกิดภัย

  3. ยกระดับการเผชิญเหตุและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย

  4. ปรับแก้การเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเป็นธรรม

 

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

1. ปฏิรูปโครงสร้างการจัดการภัยพิบัติและจัดทำแผนที่เสี่ยง

  • ปฏิรูป ปภ.: ปรับโครงสร้างการทำงานกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีประสิทธิภาพ โดยการปรับตัวชี้วัดอ้างอิงบนฐานความเสี่ยงภัย
  • แผนที่เสี่ยงภัยพิบัติ (Risk Map): จัดทำแผนที่ระบุความเสี่ยงรายพื้นที่ (ไม่ใช่แค่แผนที่แสดงภัย) เพื่อใช้กำหนดงบประมาณตามระดับความเสี่ยงจริง แก้ปัญหามือใครยาวสาวได้สาวเอา
  • ส่งเสริมพลังชุมชน: ส่งเสริมให้ชุมชนสามารถจัดการภัยพิบัติได้อย่างเข้มแข็ง (Community Based Disaster Risk Management)
  • ทบทวนกฎหมายและพัฒนาแผน: แก้ไขพ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมตรวจสอบการปฏิบัติงานจริงทั้งหมดของภัยแต่ละระดับตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ปี 2565-2570 เพื่อยกร่างแผนแม่บทฉบับใหม่ปี 2571-2575
  • กำหนดตัวชี้วัดระยะยาว เพื่อยกระดับการจัดการความเสี่ยงภัยพิบัติของไทยให้เท่าทันโลก

2. รื้อระบบแจ้งเตือนและการเตรียมพร้อมก่อนเกิดภัย

  • รื้อระบบการเตือนภัย: กำหนดอำนาจและขั้นตอนของการเตือนภัยทุกประเภท แก้ปัญหาความล่าช้าของการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น 

    • การแจ้งเตือนแผ่นดินไหว ที่ปัจจุบันกรมอุตุฯต้องใช้เวลาถึง 4-10 นาทีหลังเกิดเหตุในการแจ้งเตือนภัยให้กับประชาชน มาเป็นระบบ Integrated Primary seismic waves ที่สามารถแจ้งเตือนแผ่นดินไหวได้ภายใน 1-2 นาทีหลังเกิดเหตุ  หรือ 

    • การนำค่าพยากรณ์ปริมาณน้ำฝนสะสมมาจำลอง (simulation) เพื่อคาดการณ์พื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบพร้อมระดับการท่วมของน้ำให้ประชาชนล่วงหน้า 

    • พัฒนาระบบรับข้อมูลการแจ้งเตือนโดยภาคประชาชนโดยให้มีการสะสมคะแนนนักแจ้งเตือนภาคประชาชนด้วย 

โดยออกเป็นมติของคณะกรรมการบริหารระบบเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ทั้งหมดนี้เพื่อปรับเพิ่มระบบการแจ้งเตือนในสภาวะฉุกเฉิน (Emergency Alert) เพื่อใช้ในการเตรียมการและอพยพล่วงหน้าอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่มีเพียงการแจ้งเตือนแบบให้ข้อมูล (Informational Alert) 

  • กระจายอำนาจเตือนภัย: กำหนดอำนาจท้องถิ่นและชุมชนแจ้งเตือนแบบ Emergency alert ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ศูนย์อพยพมาตรฐาน: จัดเตรียมและตรวจสอบความพร้อมของศูนย์อพยพในพื้นที่เสี่ยงตามวงรอบ ก่อนเข้าช่วงฤดูกาลเสี่ยงภัย

3. ยกระดับการเผชิญเหตุและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย

  • ศูนย์บัญชาการเชิงรุก: ตั้งศูนย์บัญชาการตามระดับภัย ไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถิ่น  ไปจนถึงระดับชาติทันทีที่ "คาดว่า" จะเกิดภัย ไม่ต้องรอให้ภัยเกิด โดยระบบ Single Command จากผู้บัญชาการเหตุการณ์แบ่งตามระดับภัย รวมถึงการยกระดับภารกิจของกระทรวงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องการช่วยเหลือภารกิจภัยพิบัติ เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการจัดทำแผนจัดการขยะในภาวะวิกฤต กระทรวงสาธารณสุขในการยกระดับการช่วยเหลือเคสเร่งด่วนทางอากาศ และทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต(MCATT) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการเตรียมอาหารบรรจุภัณฑ์พร้อมทานสำหรับภาวะวิกฤต หรือ การกำหนดกลไกการบัญชาการภัยพิบัติของกระทรวงกลาโหม ให้ตรงกับแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ 
  • แพลตฟอร์มบัญชาการ: จัดทำแพลตฟอร์มระบบบัญชาการที่สามารถระบุพิกัดพื้นที่ประสบภัย พิกัดผู้ขอความช่วยเหลือ จับคู่กับทีมกู้ภัย และติดตามผลการช่วยเหลือได้ 
  • ฐานข้อมูลอาสาสมัคร: เปิดระบบฐานข้อมูลกลางให้มูลนิธิและอาสาสมัครลงทะเบียนล่วงหน้า เพื่อการประสานงานที่สะดวกรวดเร็วเมื่อเกิดเหตุ โดยเชื่อมโยงฐานข้อมูลดังกล่าวเข้ากับระบบการขอใบอนุญาตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของมูลนิธิและอาสาสมัคร เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงระบบที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น การขาดความต่อเนื่องของประกันภัย/ การไม่สามารถต่อทะเบียนรถยนต์ที่มีการดัดแปลงเพื่อใช้ในภารกิจด้านการจัดการภัยพิบัติของมูลนิธิหรืออาสาสมัคร
  • ปรับค่าตอบแทนคนจัดการภัยพิบัติ: ออกระเบียบปรับค่าตอบแทนให้สมเหตุสมผล จากปัญหาที่ปัจจุบันอปพร.ต้องทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมงถึงจะได้ค่าตอบแทน 300 บาท หากไม่ใช่อปพร. ต้องใช้ระเบียบฯค่าเดินทางมาเป็นค่าตอบแทน ที่ต้องทำงานมากกว่า 12 ชั่วโมง ถึงจะได้ค่าตอบแทน 240 บาท

4. ปรับแก้การเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเป็นธรรม

  • ปรับเกณฑ์เงินทดรองราชการ: แก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย พร้อมหลักเกณฑ์การเยียวยาของภัยแต่ละประเภท ให้สะท้อนความเป็นจริงและง่ายต่อการเบิกจ่ายมากขึ้น
  • เพิ่มบทบาทท้องถิ่นในการเยียวยา: ให้ท้องถิ่นมีบทบาทในการใช้เงินทดรองราชการในส่วนของการ ป้องกัน/ยับยั้ง “ก่อนเกิดเหตุ” และในส่วนของการช่วยเหลือผู้ประสบภัยใน “ขณะเกิดเหตุ” รวมถึงการตัดสินใจออกแบบการใช้เงินทดรองราชการ “นอกเหนือ”หลักเกณฑ์ เพื่อให้เกิดการใช้เงินที่สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของภัยพิบัติในแต่ละพื้นที่ได้อย่างตรงจุดและทันท่วงที (ในกรณีเกินศักยภาพงบประมาณของท้องถิ่นที่ใช้ระเบียบว่าด้วยการช่วยเหลือประชาชนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)