ยกเครื่องกฎหมายความมั่นคงที่ล้าสมัย

ยกเครื่องกฎหมายความมั่นคงที่ล้าสมัย

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

ภัยคุกคามในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบ สงครามลูกผสม (Hybrid Warfare) ที่ผสมผสานทั้งอาชญากรรมไซเบอร์ ยาเสพติด และเศรษฐกิจใต้ดิน แต่เครื่องมือทางกฎหมายของรัฐไทยยังคงยึดติดกับบริบทเก่าที่เน้นการให้อำนาจล้นพ้นแก่กองทัพ:

กฎหมายล้าสมัยขาดการถ่วงดุล: กฎหมายหลักอย่าง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 ถูกตราขึ้นก่อนระบอบประชาธิปไตย และ พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ให้อำนาจพิเศษแก่เจ้าหน้าที่รัฐโดยขาดการกำกับตรวจสอบที่มีน้ำหนักจากรัฐสภา

การใช้กฎหมายทหารในพื้นที่ปกติ: มีการประกาศกฎอัยการศึกต่อเนื่องในพื้นที่ชายแดนฝั่งเมียนมาและลาว ทั้งที่ไม่มีภาวะสงครามจริง ซึ่งนอกจากจะผิดวัตถุประสงค์แล้ว ยังไม่สามารถจัดการภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น ขบวนการต้มตุ๋นออนไลน์ (Scammer) หรือการค้ามนุษย์ได้อย่างตรงจุด

ผลกระทบต่อสิทธิและประชาธิปไตย: กฎหมายเหล่านี้มักถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อควบคุมประชาชน ขัดต่อหลักการ รัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือกองทัพ (Civilian Control of the Military) ส่งผลให้รัฐมีอำนาจมากขึ้น แต่กลับรับมือภัยคุกคามได้แย่ลง

 

เราจะทำอะไร (WHAT)

เราเสนอการยกเครื่องกฎหมายความมั่นคงทั้งระบบ โดยยึด 3 หลักการสำคัญ:

1. ใช้กฎหมายพิเศษเฉพาะเมื่อจำเป็นจริง: ต้องใช้เฉพาะกรณีที่กลไกพลเรือนปกติรับมือไม่ได้ ไม่ใช่ใช้แทนการทำงานของรัฐในยามปกติ

2. อำนาจต้องอยู่ภายใต้พลเรือนและการกำกับของรัฐสภา: การประกาศใช้อำนาจพิเศษต้องยึดโยงกับรัฐบาลที่มาจากประชาชน และต้องถูกตรวจสอบโดยฝ่ายนิติบัญญัติ

3. ตอบโจทย์ภัยคุกคามยุคใหม่: แยกเครื่องมือทางกฎหมายให้ชัดเจนระหว่างสงคราม ภัยพิบัติ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะภัย ไม่ใช้กฎหมายทหารแก้ทุกปัญหา

 

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

1. ยุติกฎอัยการศึกในพื้นที่ไร้การสู้รบ:

• ยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ที่ไม่มีภาวะสงครามจริง (เช่น ชายแดนเมียนมาและลาว) เพื่อเปลี่ยนไปใช้การบังคับใช้กฎหมายปกติ เนื่องจากไม่สามารถแก้ปัญหาภัยคุกคามรูปแบบใหม่ได้ เพื่อลดผลกระทบต่อสิทธิประชาชนและการพัฒนาพื้นที่

2. ตราพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกฉบับใหม่:

• โอนอำนาจการประกาศจากฝ่ายทหารมาเป็นอำนาจของรัฐบาลพลเรือน

• จำกัดเงื่อนไขการใช้เฉพาะสภาวะสงครามหรือการสู้รบเท่านั้น และวางกรอบการใช้อำนาจให้ชั่วคราวและตรวจสอบได้

3. ตราพระราชบัญญัติการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินฉบับใหม่:

• ให้อำนาจการประกาศอยู่ที่รัฐบาลพลเรือน และต้องขอความเห็นชอบจาก รัฐสภา ภายในระยะเวลาที่กำหนด

• กำหนดให้มีการรายงานผลกระทบและความจำเป็นต่อรัฐสภาสม่ำเสมอ พร้อมวางหลักประกันคุ้มครองสิทธิประชาชนตามหลัก สัดส่วนและความจำเป็น 

4. ปรับกรอบกฎหมายรับมือภัยคุกคามใหม่: 

จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อยกร่างหรือปรับปรุงกฎหมายให้รองรับภัยคุกคามเฉพาะด้าน เช่น

  • ภัยพิบัติและโรคระบาด

  • ยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ

  • อาชญากรรมไซเบอร์และเศรษฐกิจใต้ดิน

  • ปฏิบัติการแบบ Hybrid Warfare

โดยแยกเครื่องมือทางกฎหมายให้เหมาะสมกับลักษณะภัยคุกคาม ใช้เครื่องมือทางกฎหมายพลเรือนแทนกฎหมายทหาร

5. เชื่อมโยงสู่รัฐธรรมนูญใหม่:

• ปรับปรุงนิยามใน รัฐธรรมนูญของ “ความมั่นคง” และ “ภัยคุกคาม” ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อยืนยันหลักการว่า “ความมั่นคงของรัฐต้องตั้งอยู่บนความมั่นคงของประชาชน และอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนที่ตรวจสอบได้”