เปลี่ยนตึกเก่าเป็นอาคารประหยัดพลังงานทั่วประเทศ

เปลี่ยนตึกเก่าเป็นอาคารประหยัดพลังงานทั่วประเทศ เริ่มที่อาคารรัฐเป็นต้นแบบ ยกระดับมาตรฐานอาคารทั่วประเทศ สู่ระบบประหยัดพลังงานสุทธิเป็นศูนย์

เปลี่ยนตึกเก่าเป็นอาคารประหยัดพลังงานทั่วประเทศ

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

1. ภาคอาคารคือผู้ใช้ไฟฟ้าหลักของประเทศ ข้อมูลจาก กระทรวงพลังงาน ปี 2567 ระบุว่า ภาคอาคารมีการใช้ไฟฟ้ารวมกันสูงถึง 58% ของการใช้ไฟทั้งประเทศ จึงเป็นตัวแปรหลักที่กำหนดทั้งค่าไฟ ความเสถียรของระบบไฟฟ้า และต้นทุนพลังงานของประเทศโดยรวม หากไม่มีการจัดการอย่างจริงจัง การแก้ปัญหาค่าไฟอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ยาก

2. ภาระค่าไฟพุ่งสูงจากระบบทำความเย็น อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้น โดยเฉพาะอาคารขนาดใหญ่ที่ระบบทำความเย็นกินไฟเกือบครึ่งหนึ่งของพลังงานทั้งหมด ส่งผลให้ ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak Demand) พุ่งสูงขึ้นในช่วงสั้น ๆ ของปี ทำให้รัฐต้องลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าและโครงข่ายเพื่อรองรับความต้องการชั่วคราวนี้ ซึ่งต้นทุนทั้งหมดจะถูกเฉลี่ยกลับมาเป็นค่าไฟที่ประชาชนต้องจ่ายตลอดปี

3. พันธะสัญญาลดก๊าซเรือนกระจก ภายใต้เป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC 3.0) ประเทศไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิประมาณ 47% ภายในปี 2035 (พ.ศ. 2578) การยกระดับภาคอาคารให้ใช้พลังงานน้อยลงจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ไทยต้องทำตามคำมั่นสัญญาต่อประชาคมโลก

4. แรงกดดันจากมาตรการเศรษฐกิจโลก มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นของคู่ค้าและนักลงทุนข้ามชาติ ทำให้อาคารที่กินไฟเสี่ยงต่อการถูกลดมูลค่าและเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ ในขณะที่อาคารประหยัดพลังงานจะกลายเป็นสินทรัพย์สำคัญที่ตลาดต้องการ

พรรคประชาชนจะทำอะไร (WHAT)

เราจะผลักดันนโยบายอาคารใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Energy Building: NZEB) โดยมีแนวทางหลักดังนี้:

1. หัวใจคือการ "จัดการพลังงานจากฝั่งอาคาร" เปลี่ยนวิธีแก้ปัญหาจากการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม มาเป็นการลดความต้องการใช้ไฟฟ้าในจุดที่ใช้งานมากที่สุดของประเทศ 

  • ลดความร้อน: ออกแบบและใช้วัสดุที่ป้องกันความร้อนเข้าสู่อาคาร

  • เพิ่มประสิทธิภาพ: ใช้ระบบทำความเย็นและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงานสูง

  • บริหารจัดการอัจฉริยะ: ปรับการใช้ไฟให้สอดคล้องกับการใช้งานจริงในแต่ละช่วงเวลา

2. สนับสนุนการผลิตและใช้พลังงานสะอาดภายในอาคาร เมื่ออาคารลดการใช้ไฟได้แล้ว รัฐจะสนับสนุนให้ผลิตไฟฟ้าใช้เองตามศักยภาพ เช่น การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป หรือการบริหารเวลาใช้ไฟ (Load Shifting) เพื่อลดภาระค่าไฟของประชาชน และลดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak) ของประเทศในช่วงวิกฤต

3. ระบบจัดกลุ่มอาคารตามระดับความประหยัด รัฐจะจัดกลุ่มอาคารตาม "การใช้พลังงานจริง" ทำหน้าที่เหมือนฉลากเบอร์ 5 สำหรับอาคาร ช่วยให้ผู้ซื้อบ้าน ผู้เช่า และนักลงทุน เปรียบเทียบค่าไฟและคุณภาพอาคารได้ก่อนตัดสินใจ และอาคารที่ประหยัดไฟมากกว่าจะมีความน่าสนใจและมีมูลค่าสูงกว่าในตลาด

4. เน้น "แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ" แทนการบังคับ รัฐจะส่งเสริมให้อาคารที่ประหยัดพลังงานได้รับสิทธิประโยชน์ที่จับต้องได้ เพื่อให้เกิดการปรับตัวโดยสมัครใจ เช่น 

  • การลดหย่อนภาษีหรือค่าธรรมเนียมต่างๆ ของรัฐ

  • การเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับการปรับปรุงอาคาร

  • การเข้าถึงกระบวนการขออนุญาตก่อสร้างหรือปรับปรุงอาคารอย่างรวดเร็วมากขึ้น

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

เราจะขับเคลื่อนผ่าน 5 ขั้นตอนสำคัญ อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ชัดเจนและวัดผลได้

ขั้นที่ 1: กำหนดมาตรฐานและระบบจัดกลุ่มอาคาร สร้างมาตรฐานการจัดระดับอาคารที่เข้าใจง่ายเสมือน "ฉลากค่าไฟของอาคาร" โดยใช้ฐานข้อมูลการใช้พลังงานจริงมาเป็นเกณฑ์ 

ขั้นที่ 2: จัดการอาคารใหม่และอาคารเดิมอย่างเป็นระบบ

  • อาคารใหม่: กำหนดมาตรฐานขั้นบันได เริ่มจากอาคารรัฐต้องเป็นต้นแบบ ตามด้วยอาคารเอกชนขนาดใหญ่ที่ต้องติดตั้งโซลาร์เซลล์ จนถึงอาคารทุกประเภทในอนาคต
  • อาคารเดิม: มุ่งเป้าไปที่การลดค่าไฟในอาคารที่มีอยู่เดิมผ่าน "โครงการปรับปรุงอาคารแห่งชาติ" โดยใช้มาตรการภาษีและการให้เอกชนเข้ามาลงทุนประหยัดพลังงาน (ESCO) เพื่อลดความเสี่ยงให้เจ้าของอาคาร

ขั้นที่ 3: ใช้กลไกการเงินจูงใจ สนับสนุนให้อาคารที่ลดการใช้พลังงานได้จริงได้รับผลตอบแทนที่จับต้องได้ เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การลดหย่อนภาษี รวมถึงเปิดช่องให้สร้างรายได้เสริมจากการขาย คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ในระบบ ซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS)

ขั้นที่ 4: พัฒนาบุคลากรและหน่วยงานเจ้าภาพ ตั้งหน่วยงานกลางเพื่อประสานงานข้ามกระทรวง และร่วมกับสภาวิชาชีพผลิตบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านอาคารประหยัดพลังงานให้ได้ 20,000 คน ภายใน 5 ปี 

ขั้นที่ 5: เชื่อมโยงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ทำให้อาคารของไทยเป็นสินทรัพย์ที่มีมาตรฐานสากล เพื่อลดค่าไฟและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ช่วยให้ธุรกิจไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ และพร้อมรับมือกับกฎระเบียบการค้าโลก

การดำเนินการแบ่งเป็น 3 ระยะดังนี้

1. ระยะสั้น (ปีที่ 1–3): การนำร่องโดยอาคารภาครัฐ เน้นการสร้างต้นแบบจากหน่วยงานรัฐเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ภาคเอกชน

  • กลุ่มเป้าหมาย: กระทรวง, โรงเรียน, โรงพยาบาล และอาคารราชการ
  • กิจกรรมหลัก:
    • กำหนดมาตรฐานอาคารรัฐใหม่ให้เป็นอาคารประหยัดพลังงาน
    • ปรับปรุงอาคารรัฐเดิม โดยเน้นระบบทำความเย็นและระบบไฟฟ้า
    • จัดทำฐานข้อมูลพลังงานอาคารและสนับสนุนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์บนอาคาร
  • เครื่องมือและมาตรการ: มาตรฐานอาคารรัฐ งบลงทุนปรับปรุงอาคาร และระบบรายงานและตรวจวัดผล
  • ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ค่าไฟภาครัฐลดลงทันทีและมีอาคารต้นแบบให้เอกชนเห็น

2. ระยะกลาง (ปีที่ 4–7): การขยายผลสู่อาคารเอกชนขนาดใหญ่ ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจปรับตัวโดยใช้มาตรการจูงใจทางการเงิน

  • กลุ่มเป้าหมาย: ห้างสรรพสินค้า, อาคารสำนักงาน, โรงแรม และโรงงานสำนักงาน
  • กิจกรรมหลัก: ขยายมาตรฐานไปสู่อาคารเอกชนขนาดใหญ่ และส่งเสริมการปรับปรุงอาคารเดิมแบบคุ้มทุน
  • เครื่องมือและมาตรการ: สิทธิประโยชน์ทางภาษี, สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการใช้กลไก ESCO
  • ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ค่าไฟอาคารขนาดใหญ่ลดลง และช่วยลดความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงหน้าร้อน

3. ระยะยาว (ปีที่ 8–15): การยกระดับสู่มาตรฐานอาคารแห่งชาติ มุ่งสู่เป้าหมายอาคารพลังงานต่ำและสร้างความมั่นคงทางพลังงานในระดับประเทศ

  • กลุ่มเป้าหมาย: อาคารใหม่ทุกประเภท และอาคารเดิมทั่วประเทศ
  • กิจกรรมหลัก: ยกระดับมาตรฐานอาคารใหม่เป็นอาคารใช้พลังงานต่ำหรือพลังงานสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และทำให้อาคารเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงในระบบไฟฟ้า
  • เครื่องมือและมาตรการ: มาตรฐานอาคารแห่งชาติ, กลไกตลาดพลังงาน และการเชื่อมโยงมาตรฐานสากล
  • ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: บ้านและอาคารประหยัดพลังงานในระยะยาว และประเทศลดการนำเข้าพลังงาน