ใช้บิลค่าไฟเป็นหลักประกันสินเชื่อ

เปลี่ยนค่าไฟเป็นเงินทุน ติดตั้งโซลาร์และแอร์ประหยัดไฟโดยไม่ต้องใช้เงินก้อน ผ่อนคืนผ่านบิลค่าไฟด้วยผลประหยัดจริง เพื่อลดค่าใช้จ่ายประชาชนอย่างยั่งยืน

ใช้บิลค่าไฟเป็นหลักประกันสินเชื่อ

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

1. อุปสรรคด้านเงินลงทุนเบื้องต้น: แม้เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์รูฟท็อป หรืออุปกรณ์ประหยัดพลังงานจะช่วยลดค่าไฟได้ในระยะยาว แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยัง "ไม่มีเงินก้อน" สำหรับลงทุนครั้งแรก ทำให้การเปลี่ยนผ่านพลังงานเกิดขึ้นได้ช้าและจำกัดอยู่แค่บางกลุ่ม

2. ข้อจำกัดของระบบสินเชื่อธนาคาร: แหล่งเงินทุนในปัจจุบันยังไม่เปิดกว้างสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลาง เนื่องจากมักต้องใช้หลักประกันในการขอสินเชื่อ ทำให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุนได้ยาก ทั้งที่เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นทางเลือกสำคัญในการรับมือกับค่าไฟที่สูงขึ้นจากการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล (LNG)

3. การสูญเสียโอกาสในการสร้างงาน: หากขาดกลไกสนับสนุนการติดตั้งในวงกว้าง ประเทศจะเสียโอกาสในการสร้างงานท้องถิ่นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นช่างติดตั้ง ช่างอาคาร หรือธุรกิจ SME สายสีเขียว ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก

เราจะทำอะไร (WHAT)

เราจะผลักดันระบบ สินเชื่อผ่านบิลค่าไฟ (On-Bill Financing - OBF) ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ใช้กันแพร่หลายในระดับสากล โดยมีหลักการสำคัญคือ:

  • ติดตั้งก่อนโดยไม่ต้องใช้เงินก้อน: ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ หรืออุปกรณ์ประหยัดไฟ (เช่น แอร์หรือตู้เย็นที่มีฉลากประหยัดไฟ) ได้ทันที

  • ผ่อนคืนผ่านบิลค่าไฟ: แบ่งจ่ายค่างวดผ่านใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้ารายเดือน โดยค่างวดจะคำนวณให้สัมพันธ์กับยอดเงินที่ประหยัดได้จริง

  • รัฐวิสาหกิจเป็นตัวกลาง: ให้หน่วยงานไฟฟ้าของรัฐ (การไฟฟ้านครหลวง และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ทำหน้าที่ปล่อยสินเชื่อต้นทุนต่ำ โดยใช้ประวัติการชำระค่าไฟเป็นเกณฑ์แทนการใช้หลักประกันหรือสมุดบัญชีธนาคาร

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

เพื่อให้ระบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืนและไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดิน เราจะดำเนินการผ่าน 6 มาตรการหลัก ดังนี้:

1. จัดตั้งกองทุนสินเชื่อไฟฟ้าประชาชน พร้อมแหล่งเงินทุนที่หลากหลายและยั่งยืน

รัฐจะสนับสนุนให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จัดตั้ง “กองทุนสินเชื่อไฟฟ้าประชาชน” เพื่อปล่อยสินเชื่อได้ทันที โดยระดมทุนผ่านเครื่องมือทางการเงินสมัยใหม่ เช่น:

  • หุ้นกู้ประหยัดพลังงาน (Energy Efficiency Bond) หรือหุ้นกู้พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy Bond) ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถลงทุนได้
  • เงินกู้ต้นทุนต่ำจากธนาคารของรัฐและธนาคารพาณิชย์
  • เงินทุนหมุนเวียนของรัฐวิสาหกิจ ที่สามารถจัดสรรมาใช้ได้ทันที

โครงสร้างนี้ทำให้กองทุนของรัฐวิสาหกิจมีแหล่งเงินต้นที่มั่นคง และสามารถปล่อยกู้ให้ประชาชนได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องเพิ่มภาษีหรือใช้งบประมาณพิเศษของรัฐบาล

2.  รัฐวิสาหกิจมีรายได้จากส่วนต่างดอกเบี้ย (Service Spread) เพื่อความยั่งยืนของโครงการ

  • สร้างกลไกรายได้เลี้ยงตัวเอง: กำหนดส่วนต่างดอกเบี้ย (Service Spread) ประมาณ 1% เพื่อให้รัฐวิสาหกิจมีรายได้มาใช้บริหารจัดการ เช่น หากกองทุนกู้เงินมาที่ดอกเบี้ย 3% จะปล่อยกู้ให้ประชาชนที่ 4%
  • ครอบคลุมค่าดำเนินงาน: นำรายได้จากส่วนต่างนี้ไปใช้ในระบบไอที การติดตามชำระหนี้ และการดูแลโครงการ เพื่อไม่ให้การดำเนินการเป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดิน
  • สร้างแรงจูงใจให้หน่วยงาน: ทำให้ กฟน. และ กฟภ. มีงบประมาณบริหารจัดการเพียงพอที่จะดูแลโครงการอย่างมีคุณภาพ
  • ขยายผลสู่ประชาชนวงกว้าง: เมื่อโครงการมีความมั่นคงทางการเงิน รัฐจะสามารถขยายวงเงินสินเชื่อเพื่อรองรับประชาชนที่ต้องการเข้าร่วมโครงการได้มากขึ้นในอนาคต

3. เปิดให้ผ่อนชำระผ่านบิลค่าไฟทันที พร้อมปรับบิลให้เห็นผลประหยัดอย่างชัดเจน

  • เริ่มผ่อนผ่านบิลได้ทันที: ระบบจะเพิ่มรายการ ‘ค่างวดโครงการประหยัดพลังงาน’ ลงในใบแจ้งค่าไฟฟ้า โดยมี กฟน. และ กฟภ. เป็นผู้พิจารณาอนุมัติประชาชนที่สมัครร่วมโครงการอย่างรวดเร็ว
  • เกณฑ์การพิจารณา: ผู้เข้าร่วมต้องมีประวัติการชำระบิลดี และผ่านเกณฑ์ค่าไฟรวมไม่เพิ่มขึ้น (Bill Neutrality Test) เพื่อรับประกันว่าการมีหนี้ก้อนใหม่นี้จะไม่ทำให้รายจ่ายต่อเดือนเพิ่มขึ้น ตัวอย่างต่อไปนี้:
    • กรณีที่ผ่าน: เดิมจ่ายค่าไฟ 3,000 บาท หลังติดตั้งโซลาร์ ค่าไฟลดเหลือ 2,000 บาท เมื่อรวมค่างวด 1,000 บาท ยอดรวมยังคงเป็น 3,000 บาท (เท่าเดิมแต่ได้อุปกรณ์)
    • กรณีที่ไม่ผ่าน: เดิมจ่ายค่าไฟ 2,000 บาท อุปกรณ์ช่วยลดได้ 500 บาท (เหลือค่าไฟ 1,500 บาท) แต่ค่างวดสูงถึง 800 บาท ทำให้บิลใหม่พุ่งเป็น 2,300 บาท (สูงกว่าเดิม) กรณีนี้รัฐจะไม่อนุมัติเพื่อคุ้มครองประชาชนจากภาระหนี้
  • บิลโปร่งใส เห็นผลประหยัดทันที: ใบแจ้งค่าไฟฟ้าโฉมใหม่จะระบุข้อมูลสำคัญให้ตรวจสอบได้ง่าย ได้แก่:
    • เปรียบเทียบค่าไฟก่อนและหลังติดตั้ง
    • ปริมาณหน่วยไฟฟ้าและจำนวนเงินที่ประหยัดได้จริง
    • ยอดผ่อนชำระ และยอดสุทธิที่ต้องจ่ายจริงในเดือนนั้น

4. ออกมาตรฐานผู้ติดตั้งและผู้ให้บริการด้านอนุรักษ์พลังงาน เพื่อคุ้มครองประชาชน

รัฐจัดทำข้อกำหนดขอบเขตงาน (TOR) กลางภายใน 1–2 เดือนสำหรับช่างทุกประเภท เช่น ช่างโซลาร์ ช่างแอร์ประสิทธิภาพสูง ผู้รับเหมาปรับปรุงอาคาร และผู้ให้บริการงานฉนวน มาตรฐานนี้จะทำให้ประชาชนมั่นใจและช่วยสร้างงานท้องถิ่นคุณภาพสูงทั่วประเทศ

5. ระบบรับซื้อไฟส่วนเกินและการปรับโครงสร้างค่าไฟอย่างเป็นธรรม

  • เดินหน้าระบบ Net Billing ทันที: เปิดให้ประชาชนขายไฟส่วนเกินคืนระบบได้โดยไม่ต้องรอโครงข่ายอัจฉริยะ (Smart Grid) เพียงปรับกติกาการอ่านหน่วยให้โปร่งใส โดยรายได้จากการขายไฟจะนำไปหักค่างวดสินเชื่อ OBF โดยตรง ช่วยให้ประชาชนผ่อนหมดไวขึ้น
  • ปรับวิธีคิดค่าใช้บริการโครงข่าย (T&D Charge): เปลี่ยนจากการคิดตามปริมาณหน่วยไฟ (kWh) เป็นคิดตามความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak Demand) เพื่อให้การไฟฟ้าฯ มีรายได้ดูแลสายส่งอย่างเพียงพอ และไม่ผลักภาระต้นทุนไปให้ผู้ใช้ไฟรายย่อยที่ไม่สามารถติดตั้งโซลาร์ได้
  • จัดการต้นทุนแฝงในอดีต (Legacy Costs) อย่างยุติธรรม: แยกต้นทุนนโยบายที่ผิดพลาดหรือค่าใช้จ่ายตกค้างในอดีต (เช่น Adder) ออกมาบริหารจัดการต่างหาก โดยคิดเป็นค่าบริการรายเดือนตามประวัติการใช้ไฟ เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งคนติดโซลาร์และผู้ใช้ไฟทั่วไปไม่ต้องแบกรับภาระอย่างไม่เป็นธรรม

6. ทำให้ทุกขั้นตอนเรียบง่าย: สมัครง่าย ติดตั้งเร็ว เห็นผลในบิลถัดไป

  • สมัครง่ายในไม่กี่นาที: ประชาชนสามารถยื่นขอโครงการผ่านแอปพลิเคชันหรือที่ศูนย์บริการของการไฟฟ้า (กฟน./กฟภ.) ได้ทันที โดยไม่ต้องเตรียมเอกสารยุ่งยาก เพราะรัฐมีฐานข้อมูลการใช้ไฟอยู่แล้ว
  • ประสานงานฉับไว: เมื่อสมัครเสร็จ ระบบจะส่งต่อข้อมูลให้ผู้รับเหมาหรือช่างติดตั้งที่ผ่านมาตรฐานติดต่อกลับเพื่อสำรวจหน้างานภายใน 7 วัน
  • ติดตั้งเสร็จภายใน 2 สัปดาห์: กระบวนการติดตั้งอุปกรณ์ (เช่น แผงโซลาร์ หรือแอร์ประหยัดไฟ) ต้องเสร็จสิ้นพร้อมใช้งานภายใน 14 วัน หลังการสำรวจ
  • เห็นผลประหยัดทันที: ประชาชนไม่ต้องรอเป็นปีเพื่อดูความคุ้มค่า แต่จะเห็นตัวเลขส่วนต่างค่าไฟที่ลดลงและยอดผ่อนชำระปรากฏชัดเจนใน บิลค่าไฟเดือนถัดไป ทันทีหลังติดตั้งเสร็จ