กำหนดยุทธศาสตร์แรร์เอิร์ธ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์

กำหนดยุทธศาสตร์แรร์เอิร์ธ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

ท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ "แร่หายาก" กลายเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจและการเมืองโลก ไทยต้องมีแผนยุทธศาสตร์ในเรื่องนี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว

  1. ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์: ปัจจุบันโลกแบ่งขั้วห่วงโซ่อุปทาน สหรัฐฯ และจีนต่างแข่งขันกันครอบครองแร่หายากเพื่อความได้เปรียบทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง หากไทยไม่มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน การไปทำข้อตกลง (MOU) หรือให้สัมปทานโดยไม่รอบคอบ อาจทำให้เราเสียเปรียบทั้งในเชิงเศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างประเทศ

  2. โอกาสทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ได้เจียระไน: กรมทรัพยากรธรณีประเมินว่าไทยอาจมีแร่หายากมูลค่าสูงถึง 5.69 ล้านล้านบาท จากปริมาณ 8.65 ล้านตัน แต่เรากลับไม่มีแผนรองรับที่ชัดเจน ทำให้เสียโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่และการจัดการแร่ในประเทศ

  3. ระเบิดเวลาด้านสิ่งแวดล้อม: กระบวนการสกัดแยกแร่หายากมักเกิดธาตุกัมมันตรังสี ซึ่งเสี่ยงต่อการสะสมกากนิวเคลียร์ หากไม่มีระบบจัดการที่ดี แหล่งน้ำใต้ดินและพื้นที่เกษตรกรรมอาจปนเปื้อนจนแก้คืนไม่ได้

 

เราจะทำอะไร (WHAT)

เราจะเปลี่ยนจาก "การขุดแร่ไปขายราคาถูก" เป็น "การจัดการทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์"

  1. สำรวจให้รู้จริง: ปัจจุบันกรมทรัพยากรธรณีสำรวจพื้นที่แหล่งแร่ที่มีศักยภาพได้เพียง 30% 

    • ข้อมูลเบื้องต้นคือ พบแร่ Monazite และ Xenotime มากในภาคใต้และภาคตะวันตก พบ Ion-Adsorption Clay ในภาคเหนือและภาคตะวันตก อย่างไรก็ตาม ยังขาดความชัดเจนหลายประการ 

    • รัฐบาลจึงควรมีนโยบายสำรวจและจัดการแร่หายาก จัดทำฐานข้อมูลแหล่งแร่ในประเทศเพื่อให้มีข้อมูลที่ครบถ้วน (เช่น มีแร่ชนิดไหน เกรดอะไร มีความคุ้มค่าเชิงพาณิชย์หรือไม่) รวมถึงการเตรียมระดับเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการจัดการแร่

  2. เชื่อมโยงแผนพัฒนาอุตสาหกรรม: แร่หายากต้องถูกวางแผนให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ไทยต้องการส่งเสริม เพื่อระบุตำแหน่งของไทยในซัพพลายเชนโลก รัฐบาลต้องเร่งจัดทำยุทธศาสตร์ด้านนี้ เพื่อกำหนดว่าจะดำเนินนโยบายแร่หายากอย่างไร ไทยจะมุ่งเน้นอุตสาหกรรมใด สินค้าใด สัมพันธ์กับห่วงโซ่อุตสาหกรรมของประเทศใดบ้าง

  3. กำหนดยุทธศาสตร์ด้านต่างประเทศ: การเข้าถึงแร่หายากของไทยต้องพึ่งพาประเทศอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ รัฐบาลจึงต้องเร่งกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่ง

 

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

เราแบ่งการดำเนินงานเป็น 3 ระยะ

ระยะเร่งด่วน (6 เดือน): วางระบบและสังคายนาข้อมูล

  • ปรับโครงสร้างคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (กนร.) 

    • หัวโต๊ะหรือประธานกรรมการ ต้องมีความเข้าใจเรื่องแร่หายากและความสำคัญของการกำหนดยุทธศาสตร์ 

    • เพิ่มสัดส่วนกรรมการ "สายเศรษฐกิจ-อุตสาหกรรม-ต่างประเทศ" 

    • ทำหน้าที่วางยุทธศาสตร์แร่หายากของไทยโดยพิจารณาอย่างรอบด้าน คำนึงถึงประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการต่างประเทศของไทยในระยะยาว

  • รัฐบาลตั้งต้นจัดการข้อมูลแร่หายากในปัจจุบันอย่างเป็นระบบ

    • ตรวจสอบข้อมูลนำเข้า-ส่งออกที่คลุมเครือ ทำให้เกิดความชัดเจน (เช่น ข้อมูลที่ว่าไทยนำเข้าแร่จากต่างประเทศมาเพื่อผลิตหรือแปรรูปนั้น เป็นการผลิตจากแร่นำเข้าใด ปริมาณเท่าใด เพื่อแปรรูปและส่งออกในรูปแร่ใด)

    • กนร. พิจารณาประกาศให้แร่หายากเป็น "สินค้าควบคุม" ออกประกาศกระทรวงและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดให้ต้องมีการขออนุญาต ครอบครอง-ขนย้าย-ส่งออก อย่างเข้มงวด ป้องกันการลักลอบส่งออกและการค้าแร่ผิดกฎหมาย รวมถึงอาจประกาศ “เขตห้ามทำเหมือง” ในบางพื้นที่ จนกว่า กนร. จะมีผลการศึกษาที่ชัดเจนทั้งด้านความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

ระยะกลาง (1-4 ปี): วางแผนและสำรวจแหล่งแร่

  • ผนวกแร่หายากเข้ากับยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมและการต่างประเทศ: เพิ่มเรื่องแร่หายากในแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ของประเทศ เพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมสอดคล้องกับการจัดหาแร่หายาก สามารถระบุตำแหน่งแห่งที่ของไทยในซัพพลายเชนโลก ขณะเดียวกันไทยต้องดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศให้สอดคล้องกับแผนดังกล่าว

  • สำรวจแหล่งแร่ 100%: รัฐจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรอย่างเพียงพอ เพื่อให้กรมทรัพยากรธรณีดำเนินการสำรวจพื้นที่ที่มีศักยภาพให้ครบถ้วนโดยเร็ว (ปัจจุบันทำได้เพียง 30%) จะทำให้ประเทศมีฐานข้อมูลที่แม่นยำ สามารถกำหนดนโยบายและวางยุทธศาสตร์ได้ถูกต้อง ทั้งนี้สามารถแบ่งพื้นที่ที่มีศักยภาพออกเป็นระดับต่างๆ เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินงาน

  • ทำแผนแร่รายชนิด: ปัจจุบันไทยยังขาดเทคโนโลยีการสกัดแยก ทำให้ต้องส่งออกในรูปสินแร่ราคาถูก แต่นำเข้าผลิตภัณฑ์สำเร็จในราคาแพง รัฐจึงควรมีแผนหรือนโยบายสำหรับแร่รายชนิด ที่เป็นแร่ยุทธศาสตร์ ทั้งด้านการจัดหาแร่จากต่างประเทศ ศักยภาพของแหล่งแร่ในประเทศที่คุ้มค่าต่อการพัฒนา โดยประเมินทั้งด้านเศรษฐกิจ (เช่น เทคโนโลยีสำหรับแร่แต่ละประเภท การพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง) และด้านสิ่งแวดล้อม (ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการจัดการ) 

ระยะยาว (4 ปีขึ้นไป): สร้างมูลค่าเพิ่มสู่ระดับโลก

  • เชื่อมต่ออุตสาหกรรมปลายน้ำ: รัฐมีมาตรการจูงใจให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ สนับสนุนการพัฒนาแร่หายากในประเทศไทย โดยลงทุนในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง (เช่น มีนโยบายจูงใจให้ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หรือยานยนต๋ไฟฟ้า ใช้วัตถุดิบแร่หายากที่มีในไทย)

  • ยกระดับสู่ซัพพลายเชนโลก: ผลักดันให้เทคโนโลยีแร่ของไทยได้มาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมไทยในซัพพลายเชนโลก ลดความเสี่ยงจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าในระยะยาว