โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ / สมาร์ทกริด (Smart Grid) คือการยกระดับระบบไฟฟ้าของประเทศให้สามารถ “สื่อสาร วิเคราะห์ และควบคุมตัวเองได้” แบบเรียลไทม์ ทำให้ระบบมีความเสถียร โปร่งใส และใช้พลังงานได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น ทั้งยังรองรับพลังงานหมุนเวียนที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายตัวจากครัวเรือนและภาคธุรกิจ ซึ่งระบบไฟฟ้าแบบเดิมไม่สามารถรองรับได้เพียงพออีกต่อไป
สมาร์ทกริดถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเดิมของระบบไฟฟ้าประเทศไทย ที่ส่งไฟฟ้าทางเดียวจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ แต่ในปัจจุบันโครงสร้างพลังงานเปลี่ยนไปสู่การผลิตแบบกระจายตัว ทำให้ระบบเก่าเผชิญข้อจำกัดที่กลายเป็นความเสี่ยงของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น
• ข้อจำกัดในการรองรับพลังงานสะอาด: พลังงานแสงอาทิตย์และลมมีความผันผวน หากไม่มีระบบจัดการที่ชาญฉลาด ความเสถียรของไฟฟ้าจะลดลง และไม่สามารถเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนได้ตามเป้าหมาย
• ความเสี่ยงด้านความมั่นคง: ระบบเดิมพึ่งพาโรงไฟฟ้าหลักมากเกินไป หากจุดใดจุดหนึ่งขัดข้องจะกระทบวงกว้าง เพราะระบบไม่สามารถตรวจจับหรือแก้ไขได้แบบ ตามเวลาจริง (Real-time)
• ต้นทุนแฝงที่สูงขึ้น: การไม่มีระบบอัจฉริยะทำให้ต้องมีโรงไฟฟ้าสำรองจำนวนมากเพื่อรองรับความไม่แน่นอน ซึ่งกลายเป็นภาระค่าไฟฟ้าที่ส่งตรงถึงประชาชน
• ไม่รองรับเทคโนโลยีใหม่: ระบบไฟฟ้าแบบเดิมไม่สามารถบริหารจัดการโหลดไฟฟ้าจาก รถยนต์ไฟฟ้า (EV), บ้านอัจฉริยะ หรือศูนย์ข้อมูล (Data Centers) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• อุปสรรคของผู้ผลิตรายย่อย (Prosumer): ประชาชนที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปยังไม่สามารถซื้อขายไฟฟ้าได้อย่างโปร่งใสและคล่องตัว
การเปิดเสรีตลาดไฟฟ้า ที่พรรคประชาชนนำเสนอจะทำให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถเลือกผู้ขายไฟฟ้าได้ จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีโครงข่ายที่ทันสมัยและโปร่งใสพอให้ผู้เล่นหลายรายใช้ระบบร่วมกันได้อย่างเป็นธรรม Smart Grid จึงเป็น “โครงสร้างพื้นฐานที่ต้องมี” เพื่อให้ตลาดไฟฟ้าเสรีเกิดขึ้นจริงอย่างมั่นคงและปลอดภัย
แม้เทคโนโลยีของ Smart Grid จะมีหลากหลาย แต่ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องลงทุนทุกอย่างในเวลาเดียวกัน สิ่งสำคัญคือการเลือกองค์ประกอบที่ “มีผลกระทบสูงสุดต่อระบบไฟฟ้า” และ “มีศักยภาพสร้างอุตสาหกรรมภายในประเทศจากการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale)” ซึ่งช่วยลดการนำเข้า สร้างงาน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
จากการประเมินเชิงเทคนิค เศรษฐศาสตร์ และโอกาสด้านอุตสาหกรรม จึงได้สรุปเทคโนโลยีสำคัญที่ควรเริ่มลงทุนก่อน ดังนี้:
1. มิเตอร์อัจฉริยะ (Smart Meters): ติดตั้งในทุกครัวเรือนเพื่อให้ประชาชนมองเห็นข้อมูลการใช้ไฟรายช่วงเวลาและเลือกแพ็กเกจค่าไฟได้เอง
2. ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ระดับโครงข่าย (Grid Battery Energy Storage System - Grid BESS): แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพื่อเก็บพลังงานส่วนเกินจากพลังงานหมุนเวียนและรักษาเสถียรภาพระบบ
3. สถานีไฟฟ้าอัตโนมัติ (Automation Substation): ปรับปรุงสถานีไฟฟ้าให้สามารถตรวจจับและแก้ปัญหาได้เองอัตโนมัติ เพื่อลดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ
4. หม้อแปลงดิจิทัล (Digital Transformer): หม้อแปลงที่มีเซนเซอร์ประสิทธิภาพสูงสำหรับตรวจจับความร้อนและปัญหาแบบเรียลไทม์
5. เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Inverter): อุปกรณ์ควบคุมการเชื่อมต่อโซลาร์รูฟท็อปกับระบบไฟหลักอย่างปลอดภัย
6. ระบบอัดประจุไฟฟ้า (EV Chargers): สร้างอุตสาหกรรมเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่สื่อสารกับระบบไฟฟ้าได้ เพื่อรองรับการเป็นฐานผลิต EV ของภูมิภาค
7. ซอฟต์แวร์และพลังงานดิจิทัล: พัฒนา ระบบบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management Software) และระบบความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีนำเข้า
รัฐบาลจะใช้กลไกการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐร่วมกับการ ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public-Private Partnership - PPP) เพื่อเร่งสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าในประเทศ โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 3 ระยะ:
ระยะที่ 1 (ปี 2027–2030): การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและเริ่มวางระบบ
• ติดตั้ง Smart Meters ในพื้นที่สำคัญ ปรับปรุงระบบสื่อสัญญาณของสถานีไฟฟ้าให้เป็นดิจิทัล และวางระบบตรวจจับโหลดรวมถึงการสูญเสียไฟฟ้าแบบเรียลไทม์
• สถานีไฟฟ้าบางส่วนจะถูกอัปเกรดให้เป็นสถานีอัตโนมัติที่สามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้เอง ทำให้ไฟฟ้าดับน้อยลงและลดเวลาการฟื้นตัวของระบบ
ระยะที่ 2 (ปี 2031–2034): การเชื่อมโยงข้อมูลทั่วประเทศ และรองรับพลังงานหมุนเวียน
• เชื่อมข้อมูลทั้งประเทศเข้ากับศูนย์ควบคุมกลาง เพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการไฟฟ้าจากโซลาร์ ลม และผู้ผลิตรายเล็ก
• บริหารจัดการโหลดไฟฟ้าจากรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ผ่านการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าอัตโนมัติ
ระยะที่ 3 (ปี 2035–2038): โครงข่ายอัจฉริยะเต็มรูปแบบ
• ระบบไฟฟ้าของประเทศไทยจะก้าวสู่ความเป็น “โครงข่ายอัจฉริยะเต็มรูปแบบ” ทุกครัวเรือนมี Smart Meter ทุกสถานีไฟฟ้าเป็นดิจิทัล และโครงข่ายสามารถปรับสมดุลไฟฟ้าได้เองอย่างต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง
• ระบบจะรองรับผู้ผลิตรายเล็กจำนวนมาก ทำให้พลังงานหมุนเวียนเติบโตอย่างมั่นคง
• ระบบไฟฟ้ามีความพร้อมสำหรับเศรษฐกิจยุคใหม่ เช่น EV, AI, โรงงานอัตโนมัติ และบริการดิจิทัลต่าง ๆ