1. ต้นตอปัญหานอกพรมแดนที่รุนแรงขึ้น: ปัจจุบันพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและรัฐว้าในเมียนมา กลายเป็นฐานผลิตยาเสพติดสังเคราะห์ระดับอุตสาหกรรม โดยเฉพาะหลังรัฐประหารในเมียนมาปี 2564 ซึ่งสร้างช่องว่างทางอำนาจให้กลุ่มทุนสีเทาขยายตัว สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ระบุในรายงานปี 2567 ว่าปริมาณการผลิตและลำเลียงยาเสพติดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มสูงขึ้นในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
2. อาชญากรรมข้ามชาติและเครือข่ายทุนฟอกเงิน: เครือข่ายยาเสพติดได้พัฒนาเป็น องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ใช้บริษัทบังหน้าและการลงทุนในระบบเศรษฐกิจเพื่อฟอกเงิน ปัญหานี้ไม่ได้กระทบแค่ความมั่นคงชายแดน แต่ยังทำลายธรรมาภิบาลของรัฐและระบบเศรษฐกิจในภาพรวม
3. เน้น "จับ-ขัง" แต่ไม่ตัดวงจร: นโยบายที่ผ่านมาเน้นการจับกุมผู้เสพและผู้ค้ารายย่อย ส่งผลให้เรือนจำไทยมีความแออัดอย่างหนัก ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ระบุว่านักโทษคดียาเสพติดมีสัดส่วนสูงที่สุดในบรรดานักโทษทั้งหมด แต่วงจรการเสพซ้ำยังไม่หมดไป เพราะผู้บงการรายใหญ่ยังลอยนวล
4. ต้นทุนทางสังคมที่มหาศาล: งบประมาณที่เสียไปกับการบังคับใช้กฎหมายและการดูแลผู้ต้องขัง สูงกว่าการลงทุนในระบบบำบัดรักษา หากรัฐไม่ปรับมาลงทุนในระบบการฟื้นฟูเชิงระบบ จะเกิดภาระระยะยาวต่อทั้งครอบครัวและชุมชนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เสนอนโยบายเชิงรุกแบบครบวงจร แก้ปัญหายาเสพติดที่ต้นตอ ครอบคลุมทั้งด้านความมั่นคง สุขภาพ เศรษฐกิจ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยมี 4 เป้าหมายหลัก
ตัดตอนแหล่งผลิตและเครือข่ายรายใหญ่
สกัดกั้นเส้นทางลำเลียงและตัดวงจรทางการเงิน
ลดอุปสงค์ภายในประเทศอย่างเป็นระบบ
บำบัด ฟื้นฟู และคืนคนสู่สังคมอย่างยั่งยืน
1. มิติการทูต: "แก้ที่ต้นตอนอกพรมแดน"
จับมือกับประเทศเพื่อนบ้าน อาเซียน และ UNODC เพื่อผลักดันให้พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำปลอดยาเสพติด
สนับสนุนโครงการพัฒนาทางเลือก เพื่อให้คนในพื้นที่ผลิตมีอาชีพอื่นทดแทนการปลูกพืชยาเสพติด
2. มิติความมั่นคง: "พรมแดนอัจฉริยะ"
อัปเกรดการป้องกันชายแดนด้วยเทคโนโลยี Smart Border เช่น โดรนตรวจการณ์และเซนเซอร์ประสิทธิภาพสูง
บูรณาการข่าวกรองร่วมกับชุมชนชายแดน ให้ประชาชนเป็นหูเป็นตาและเป็นด่านหน้าในการเฝ้าระวัง
3. มิติเศรษฐกิจ: "ยึดทรัพย์ตัดวงจรฟอกเงิน"
คุมเข้มการนำเข้า-ส่งออกสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ที่จะถูกส่งไปผลิตยาเสพติด
เน้นการสืบสวนเส้นทางเงิน และใช้มาตรการยึดทรัพย์อย่างเด็ดขาด
นำทรัพย์สินที่ยึดได้จากแก๊งค้ายา กลับมาลงทุนในกองทุนความปลอดภัยชุมชนและระบบบำบัดฟื้นฟู
4. มิติกฎหมาย: "แยกปลาออกจากน้ำ"
ผู้ค้ารายใหญ่: ลงโทษขั้นสูงสุดและใช้กฎหมายจัดการอย่างถึงที่สุด
ผู้เสพ/รายย่อย: ลดการส่งเข้าคุกเพื่อลดความแออัดในเรือนจำ แต่ใช้ศาลบำบัดยาเสพติด หรือการบังคับบำบัดตามคำสั่งศาล และมาตรการทางเลือกในการรักษาแทน
5. มิติเทคโนโลยี: "ข่าวกรองดิจิทัล"
บูรณาการ Big Data และ AI นิติวิทยาศาสตร์ ร่วมกับข่าวกรองทางการเงินเพื่อแกะรอยการฟอกเงินผ่านสินทรัพย์หลากหลาย ทั้งบัญชีเงินฝาก สินทรัพย์ดิจิทัล รวมไปถึงสินทรัพย์อื่นๆ และมัดตัวเครือข่ายค้ายาออนไลน์และทำลายเส้นทางลำเลียงอย่างแม่นยำ
รวมศูนย์อำนาจตัดสินใจ: จัดตั้ง คณะกรรมการนโยบายแก้ไขปัญหายาเสพติดแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อทลายกำแพงระหว่างหน่วยงาน (ความมั่นคง ยุติธรรม สาธารณสุข และต่างประเทศ) ให้ทำงานสอดประสานกัน
ตั้งวอร์รูมล่าทรัพย์: จัดตั้ง ศูนย์บัญชาการตัดวงจรการเงินและยึดทรัพย์ยาเสพติด เพื่อโฟกัสการสืบสวนเส้นทางการเงินเชิงลึกในทุกคดีสำคัญโดยเฉพาะ
ระยะสั้น (ภายใน 1 ปี): "อุดรอยรั่วและกวาดล้างรายใหญ่"
เชื่อมข้อมูลข้ามพรมแดน: ทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านข่าวกรองกับประเทศเพื่อนบ้านทันที
ติดตั้งเทคโนโลยีสกัดกั้น: จัดหาโดรนตรวจการณ์และเครื่องเอกซเรย์ประสิทธิภาพสูงประจำจุดเสี่ยง
บังคับใช้กฎหมายเชิงรุก: แก้ไขกฎหมายควบคุมสารตั้งต้นของยาเสพติดให้ครอบคลุมสารตั้งต้นตัวใหม่ๆ และเริ่มกระบวนการ อายัด-ยึดทรัพย์ รายใหญ่ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม พร้อมเปิดตัวศาลบำบัดยาเสพติดนำร่อง
ระยะกลาง (2-5 ปี): "สร้างระบบป้องกันที่เข้มแข็ง"
พรมแดนอัจฉริยะ: ติดตั้งระบบ Smart Border ครบทุกจุดยุทธศาสตร์ชายแดน
ศาลบำบัดทั่วไทย: ขยายระบบศาลบำบัดให้ครบทุกจังหวัด
กองทุนจากทรัพย์คนชั่ว: นำทรัพย์สินที่ยึดได้มาตั้ง กองทุนคืนความปลอดภัยชุมชน เพื่อใช้เยียวยาสังคม
ระยะยาว (5-10 ปี): "ตัดวงจรอย่างยั่งยืน"
ทลายแหล่งผลิตหลัก: ลดศักยภาพการผลิตยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำอย่างมีนัยสำคัญผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ
ทำให้ "ค้ายาไม่คุ้ม": ใช้มาตรการตัดวงจรการเงินและยึดทรัพย์อย่างเด็ดขาด จนต้นทุนความเสี่ยงสูงกว่าผลกำไร
สร้างกลไกที่ยั่งยืน: วางรากฐานระบบการทำงานและฐานข้อมูลกลางให้เป็นระบบถาวร เพื่อให้รัฐบาลในอนาคตสามารถปฏิบัติงานต่อเนื่องได้ทันทีโดยไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่
ผู้นำระดับภูมิภาค: ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมด้านการสืบสวนและการริบทรัพย์สิน (Asset Recovery) ในอนุภูมิภาคแม่โขง
ปรับทัศนคติ: ยึดหลักการ "ผู้เสพคือผู้ป่วย" ต้องได้รับการบำบัดรักษา
บำบัดครบวงจร: ตั้งแต่การถอนพิษยา การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการติดตามผลอย่างต่อเนื่องในชุมชน
วัดผลที่คุณภาพชีวิต: เช่น อัตราการเสพซ้ำที่ลดลง และ อัตราการมีงานทำ ของผู้ที่ผ่านการบำบัด