1. ภัยคุกคามชายแดนซับซ้อนขึ้น แต่โครงสร้างไทยยังแยกส่วน: ปัจจุบันภารกิจชายแดนไทยกระจายตัวอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของหลายหน่วยงาน การไม่มี "หน่วยงานหลักเพียงหนึ่งเดียว" (Single Lead Agency) ทำให้การประสานงานล่าช้า เกิดช่องว่างทางกฎหมาย และไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การสร้างดุลยภาพระหว่าง "ความมั่นคง" และ "การค้าชายแดน": ที่ผ่านมานโยบายชายแดนมักถูกมองแยกกันระหว่างมิติความมั่นคงและเศรษฐกิจ หากคุมเข้มเกินไป การค้าชายแดนที่มีมูลค่านับล้านล้านบาทต่อปีจะสะดุด แต่หากผ่อนปรนเกินไป กลุ่มมิจฉาชีพจะใช้เป็นช่องทางลักลอบค้ายาเสพติดและค้ามนุษย์ จึงต้องวางทั้งสองเรื่องนี้ไว้บนโต๊ะเดียวกันเพื่อให้เกิดการตัดสินใจที่สมดุล
3. มาตรฐานสากลที่โลกก้าวไปข้างหน้า: หลายประเทศชั้นนำได้ปฏิรูปโครงสร้างเพื่อรับมืออาชญากรรมข้ามแดนอย่างเบ็ดเสร็จ เช่น สหรัฐฯ (รวมหน่วยศุลกากรและตรวจคนเข้าเมืองไว้ใต้ กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ), มาเลเซีย (จัดตั้ง หน่วยงานประสานงานชายแดนมาเลเซีย หรือ MCBA) ที่รวมศูนย์อำนาจไว้ที่หน่วยงานเดียว หากไทยไม่ปรับปรุงโครงสร้างจะเสียเปรียบและล้าหลังกว่ามาตรฐานภูมิภาคในการจัดการภัยคุกคามสมัยใหม่
เราเสนอการจัดตั้ง One Border Command ภายใต้กระทรวงมหาดไทย โดยแบ่งโครงสร้างเป็น 2 หน่วยงานหลัก เพื่อแยกบทบาท "งานปราบปราม" และ "งานบริการ"
บทบาทหลัก: เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายชายแดนแบบเบ็ดเสร็จ
ลักษณะองค์กร: เป็น "พลเรือนในเครื่องแบบ" ที่มีทักษะกึ่งทหาร-กึ่งตำรวจ มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเทียบเท่าเจ้าพนักงานศุลกากร (ปราบปราม), ตม. (สืบสวน) และตำรวจตระเวนชายแดน
การรวมกำลังพล (รับโอนภารกิจจาก 6 กลุ่มหลัก):
ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.)
สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.): เฉพาะด้านการสืบสวนและบังคับใช้กฎหมาย
กรมศุลกากร: เฉพาะงานด่านศุลกากรและปราบปรามลักลอบ
หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (นรข.):
ทหารพรานตามแนวชายแดน
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)
เพื่อให้การบริหารจัดการชายแดนมีประสิทธิภาพสูงสุด TBGC จะแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ชั้น ที่สอดประสานกัน ประกอบด้วย
1. ชั้นหน้า (Frontline): หน่วยปฏิบัติการแนวหน้า
ภารกิจ: ลาดตระเวน ตั้งด่าน สกัดกั้นการทำผิดตามชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ
เครื่องมือ: ใช้เทคโนโลยี เช่น กล้องวงจรปิด, เซนเซอร์, โดรน และหน่วยเคลื่อนที่เร็ว
2. ชั้นกลาง (Intelligence): หน่วยข่าวกรองและชี้เป้า
ภารกิจ: วิเคราะห์ภัยคุกคาม ระบุเส้นทางลักลอบ และติดตามบุคคลเป้าหมาย
เครื่องมือ: บูรณาการข้อมูลร่วมกับ กองทัพ, ป.ป.ส., ตำรวจ และองค์กรระหว่างประเทศหรือประเทศเพื่อนบ้าน
3. ชั้นใน (Interior): หน่วยสืบสวนและบังคับใช้กฎหมาย
ภารกิจ: ขยายผลสืบสวนและกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติสู่พื้นที่ตอนใน
เครื่องมือ: ใช้ข่าวกรองจากชั้นกลางนำทาง เพื่อปฏิบัติการร่วมกับ ตำรวจภูธร, DSI และ ปปง.
บทบาทหลัก: หน่วยงานพลเรือนเน้น "งานบริการชายแดน" และ "งานปกครอง"
ลักษณะองค์กร: ทำหน้าที่เป็นศูนย์บริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ
ภารกิจบริการหลัก:
งานศุลกากร: พิธีการตรวจปล่อยสินค้าและจัดเก็บภาษีอากร
งานตรวจคนเข้าเมือง (เชิงบริหาร): ตรวจหนังสือเดินทาง ประทับตรา และบริการด้านวีซ่า
งานใบอนุญาตผ่านแดน: ประสานงานกักกันพืช/สัตว์ และตรวจสอบสินค้าควบคุมร่วมกับหน่วยงานเฉพาะทาง
การเปลี่ยนแปลงสำคัญ: ย้ายงานบริการทั้งหมดจากกรมศุลกากรและ สตม. มาอยู่ภายใต้กระทรวงมหาดไทย เพื่อแยกขาดจากงานปราบปรามของ TBGC ลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มความรวดเร็ว
การเข้ามาของ One Border Command จะทำให้บทบาทของหน่วยงานเดิมเปลี่ยนไปในทิศทางที่ชัดเจนขึ้นดังนี้:
กองทัพ:
ถอนกำลังจากภารกิจชายแดนในสถานการณ์ปกติ เพื่อกลับไปเน้นภารกิจหลักคือการเตรียมพร้อมรบและป้องกันประเทศ
สนับสนุน TBGC ในด้านข่าวกรอง ยุทโธปกรณ์ และการฝึกอบรม โดยจะกลับมาเป็นหน่วยนำเฉพาะในภาวะสงครามหรือสถานการณ์รุนแรงตามกฎหมายความมั่นคงเท่านั้น
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ:
ส่งมอบภารกิจ ตชด. และ ตม. (เฉพาะส่วนชายแดน) ให้หน่วยงานใหม่
เน้นบทบาทตำรวจท้องที่และงานสอบสวนคดีทั่วไปในจังหวัดชายแดน โดยประสานงานใกล้ชิดกับ TBGC ในการรับส่งมอบคดีและปฏิบัติการร่วม
ฝ่ายปกครองและท้องถิ่น:
ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนทำหน้าที่เป็น "ตัวกลาง" เชื่อมโยง TBGC และ Thai Border Authority เข้ากับบริบทของพื้นที่ ผ่านกลไกคณะกรรมการความมั่นคงชายแดนระดับจังหวัด
หน่วยงานเฉพาะทางอื่น ๆ (เช่น ป.ป.ส., กต., สาธารณสุข, เกษตรฯ):
เปลี่ยนจากการทำงานแบบแยกส่วน มาทำงานบน "แพลตฟอร์มข้อมูลร่วม" และขับเคลื่อนผ่านกลไกคณะกรรมการนโยบายชายแดนระดับชาติ เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
การดำเนินการแบ่งเป็น 3 ระยะ
กลไกขับเคลื่อน: ตั้ง คณะกรรมการปฏิรูปการบริหารจัดการชายแดนแห่งชาติ โดยมีรองนายกฯ หรือ รมว.มหาดไทย เป็นประธาน ร่วมกับตัวแทนจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ตำรวจ, ทหาร, ศุลกากร, ตม., กอ.รมน.)
จัดทำแผนแม่บท: กำหนดอัตรากำลังของ TBGC และ Thai Border Authority แผนการโอนย้ายทรัพยากร (ด่าน, อาคาร, ยานพาหนะ) งบประมาณ และระบบฐานข้อมูลไอทีร่วมกัน
ปฏิรูปกฎหมายชุดใหญ่: ร่าง พ.ร.บ. จัดตั้งสำนักงานบริหารจัดการชายแดนแห่งชาติ (กำหนด TBGC และ Thai Border Authority อยู่ใต้กระทรวงมหาดไทย) พร้อมแก้ไขกฎหมายที่ทับซ้อน เช่น พ.ร.บ. คนเข้าเมือง, พ.ร.บ. ศุลกากร และระเบียบ กอ.รมน. เพื่อแบ่งเขตอำนาจให้ชัดเจน
การสื่อสารองค์กร: รับฟังความคิดเห็นและสร้างความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ที่จะต้องโอนย้าย เรื่องสิทธิประโยชน์ ความก้าวหน้าในสายอาชีพ
จัดตั้งหน่วยงานจริง: ตั้งศูนย์บัญชาการ One Border Command ภายใต้กระทรวงมหาดไทย และแต่งตั้งผู้บัญชาการหน่วยงาน TBGC และ Thai Border Authority อย่างเป็นทางการ
โอนย้ายบุคลากรแบบเป็นขั้นตอน: ทยอยโอนกำลังพลจาก ตชด., ตม., ศุลกากร, นรข. และทหารพราน โดย รักษาสิทธิประโยชน์/เงินเดือนเดิม และให้ทางเลือกแก่เจ้าหน้าที่ในการโอนย้าย
สร้างวัฒนธรรมใหม่: จัดหลักสูตรฝึกอบรมร่วมเพื่อหลอมรวมทักษะ "ทหาร-ตำรวจ-พลเรือน" ให้เป็นหนึ่งเดียว เน้นยุทธวิธี ข่าวกรอง และงานบริการด่านแบบสากล
พื้นที่นำร่อง: ทดลองใช้ระบบ “ด่านเดียว–บัญชาการเดียว–ฐานข้อมูลเดียว” ในจุดยุทธศาสตร์ เช่น แม่สอด (ตาก), อรัญประเทศ (สระแก้ว) และสามเหลี่ยมทองคำ (เชียงราย) เพื่อเก็บบทเรียนมาปรับปรุงระบบ ก่อนขยายผลทั่วประเทศ
ครอบคลุมทุกจุดผ่านแดน: ใช้โครงสร้าง TBGC และ Thai Border Authority ในทุกด่านถาวร ท่าเรือ และสนามบินระหว่างประเทศทั่วไทย โดยกองทัพถอนตัวไปเป็นหน่วยสนับสนุนยามปกติ เหลือบทบาทสนับสนุนและในยามวิกฤตตามกฎหมาย
บูรณาการระดับสากล: ปรับปรุง MOU และสนธิสัญญาชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านให้สอดรับกับโครงสร้างใหม่ และร่วมมือในกรอบอาเซียนเพื่อปราบปรามอาชญากรรมลุ่มน้ำโขง
ประเมินและปรับปรุง: ใช้ดัชนีชี้วัด (KPI) เช่น ลดจำนวนการลักลอบ, ลดเวลารอคิวที่ด่าน และความพึงพอใจของภาคธุรกิจ เพื่อปรับปรุงกฎหมายและโครงสร้างให้ยืดหยุ่นไม่แข็งตัว
นโยบายที่อยู่รอดทุกรัฐบาล: ผลักดัน One Border Command เข้าสู่ยุทธศาสตร์ความมั่นคงระยะยาว และให้รัฐสภามีบทบาทกำกับดูแล เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อการปฏิรูป