กาสีส้ม ล้มทุนเทา-สแกมเมอร์

ยกระดับปราบสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติด้วยยุทธศาสตร์ 3 ชั้น ปิดรูรั่วระบบการเงิน ทลายฐานที่มั่นชายแดน และเชื่อมโยงเครือข่ายระดับโลกร่วมแก้ปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จ

กาสีส้ม ล้มทุนเทา-สแกมเมอร์

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

  1. ประเทศไทยตกเป็น "เหยื่อ–ทางผ่าน–แหล่งฟอกเงิน" ไปพร้อมกัน: ประเทศไทยเผชิญความเสียหายทางเศรษฐกิจจากแก๊งสแกมเมอร์ปีละนับแสนล้านบาท โดยขบวนการอาชญากรใช้ไทยเป็นทั้งตลาดหลอกลวงเหยื่อ ทางผ่านเงินผิดกฎหมาย และจุดฟอกเงินผ่านระบบธนาคาร สินทรัพย์ดิจิทัล และบริษัทบังหน้า ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความปลอดภัยของประชาชน

  2. "สงครามลูกผสม" (Hybrid Warfare) ต่อความมั่นคงชาติ: นี่ไม่ใช่เพียงคดีฉ้อโกงทั่วไป แต่เป็นสงครามที่เครือข่ายทุนสีเทาใช้เทคโนโลยีการเงินสมัยใหม่ การบิดเบือนข้อมูล และการคอร์รัปชันเจ้าหน้าที่รัฐ เข้ากดทับอธิปไตยทางเศรษฐกิจและระบบยุติธรรมของไทย โดยใช้ทรัพยากรเงินและข้อมูลเป็นอาวุธแทนการใช้กำลังทหาร

  3. ชายแดนลุ่มน้ำโขงคือ "ศูนย์กลางโรงงานสแกม" ของโลก: พื้นที่ชายแดนไทยและประเทศเพื่อนบ้าน (กัมพูชา เมียนมา ลาว) กลายเป็นฐานปฏิบัติการขนาดใหญ่ที่แก๊งสแกมเมอร์ใช้แรงงานบังคับและการค้ามนุษย์ สร้างรายได้มหาศาลจนมีสัดส่วนสำคัญต่อ GDP ของบางประเทศในภูมิภาค ส่งผลให้เกิดภัยคุกคามข้ามพรมแดนที่ทำลายเสถียรภาพของภูมิภาคโดยตรง
     
  4. ทุนสีเทาแทรกซึมและ "กินรวบรัฐ" (State Capture): เงินผิดกฎหมายถูกนำมาฟอกผ่านการกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์และกิจการต่างๆ ทำลายการแข่งขันที่เสรี และเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐหรือนักการเมืองบางกลุ่ม "ขายอำนาจ" เพื่อคุ้มครองเครือข่ายผิดกฎหมาย จนเกิดปัญหาการกินรวบรัฐที่กลุ่มทุนนอกกฎหมายสามารถกำหนดทิศทางประเทศได้ในระยะยาว
     
  5. ระบบกฎหมายและกลไกบังคับใช้ "ตามไม่ทัน" อาชญากรรม: กฎหมายฟอกเงิน ค้ามนุษย์ และอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ยังไม่รองรับรูปแบบการทำผิดผ่านคริปโตและแพลตฟอร์มออนไลน์ อีกทั้งการยึดอายัดทรัพย์ข้ามแดนมีข้อจำกัดสูง และหน่วยงานรัฐทำงานแบบแยกส่วน ทำให้ขาดประสิทธิภาพในการปราบปรามอย่างจริงจัง

เราจะทำอะไร (WHAT)

นโยบายของพรรคประชาชนเสนอกรอบใหญ่ 3 มิติ

มิติที่หนึ่ง ยกระดับปัญหาเป็น “วาระแห่งชาติ” และสงครามกับทุนสีเทา

  • ประกาศให้การปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ การฟอกเงิน และการค้ามนุษย์ เป็นภารกิจเร่งด่วนสูงสุดระดับชาติ เพื่อระดมสรรพกำลังจากทุกหน่วยงานมาจัดการปัญหาอย่างจริงจัง

  • ยกระดับการมองปัญหาจากเดิมที่เป็นเพียง "คดีฉ้อโกงออนไลน์รายบุคคล" ให้เป็นการรับมือกับ "องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและเครือข่ายทุนสีเทา" ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงในระดับโครงสร้าง

มิติที่สอง กำหนดยุทธศาสตร์ 3 ชั้น เพื่อถอนรากถอนโคนทุนสีเทา

  1. ชั้นในประเทศ: ทำให้ไทย “ยากต่อการยึดครองด้วยทุนสีเทา”

    • วอร์รูมระดับชาติ: ตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านสแกมแห่งชาติ (National Anti-Scam War Room) บูรณาการการทำงานแบบเรียลไทม์ระหว่าง ตำรวจไซเบอร์, DSI, ปปง., ธปท., ก.ล.ต., กสทช., และอัยการ ร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศ

    • ธนาคารและค่ายมือถือต้องร่วมรับผิดชอบ: บังคับใช้กฎหมาย (พ.ร.ก. ไซเบอร์ฯ มาตรา 8/10) ให้สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ ผู้ให้บริการหลักทรัพย์ ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของ ธปท., กสทช., ก.ล.ต. ร่วมรับผิดชอบต่อผู้เสียหาย เพื่อเป็นกุศโลบายให้ปรับปรุงระบบความมั่นคงปลอดภัยเพื่อคุ้มครองประชาชน

    • ปิดช่องโหว่การเงิน: เสริมมาตรการยืนยันตัวตน (KYC) และการตรวจสอบเส้นทางเงิน (AML) ให้เข้มข้น เพื่อกำจัดบัญชีม้าและการฟอกเงินผ่านธนาคารและคริปโตเคอร์เรนซี

    • ใช้ระบบ “ตีตรวนบัญชีม้า” (เช่น การระงับสิทธิ์ทำธุรกรรมทุกธนาคาร) และใช้แนวคิด “ยึดทรัพย์ก่อน สอบสวนทีหลัง” ในกรณีที่มีหลักฐานชัดเจน เพื่อหยุดการย้ายทรัพย์สินให้ทันท่วงที

    • เยียวยาผู้เสียหาย: จัดตั้ง กองทุนชดเชยเหยื่อ โดยนำเงินและทรัพย์สินที่ยึดได้จากกลุ่มอาชญากรมาคืนให้แก่ผู้เสียหาย

    • กวาดบ้านตัวเอง: เอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองที่พัวพันกับทุนสีเทาอย่างเด็ดขาด พร้อมมีมาตรการคุ้มครอง ผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower) อย่างจริงจัง

  2. ชั้นชายแดน–ลุ่มน้ำโขง: เปลี่ยนจุดเปราะบางเป็น “ด่านหน้าของโลก”
    • รุกถึงจุดเสี่ยง: ตั้งชุดปฏิบัติการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทลายฐานที่มั่นในจุดยุทธศาสตร์ เช่น ปอยเปต, สีหนุวิลล์ และสามเหลี่ยมทองคำ

    • แลกเปลี่ยนข้อมูลล่าตัว: ตั้ง ศูนย์ข่าวกรองอนุภูมิภาคแม่โขง เพื่อแชร์ข้อมูลบัญชีต้องสงสัย เส้นทางเงิน และพิกัดค่ายสแกมแบบทันเหตุการณ์

    • ยกระดับนโยบายชายแดน: ปรับนโยบายบริหารจัดการชายแดนให้เน้นการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติเป็นลำดับต้นๆ ไม่จำกัดอยู่แค่เรื่องแรงงานหรือการค้าทั่วไป

  3.  ชั้นโลก: ทำให้ “โลกทั้งใบเป็นพันธมิตรของไทย”

    • ผู้นำอาเซียนปราบไซเบอร์: ผลักดัน แผนปฏิบัติการร่วมอาเซียน ด้านอาชญากรรมไซเบอร์และสแกม และตั้งศูนย์ประสานงานกลางเพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มประเทศเทคโนโลยีสูง เช่น สหรัฐฯ, จีน, ญี่ปุ่น และยุโรป

    • ทีมสอบสวนสากล: จัดตั้ง ชุดสืบสวนร่วม (Joint Investigation Teams - JITs) กับประเทศคู่ค้า

    • ยกระดับมาตรฐานสากล: ใช้กลไกตรวจจับการฟอกเงินระดับโลก เช่น FATF, FinCEN และ FIU เพื่อติดตามเงินผิดกฎหมายที่ไหลออกนอกประเทศ

    • ทวงคืนทรัพย์สินข้ามชาติ: ผลักดันข้อตกลงในการเฉลี่ยทรัพย์เพื่อนำสินทรัพย์หรือคริปโตที่รัฐบาลต่างประเทศยึดได้ กลับมาคืนให้แก่เหยื่อชาวไทย

มิติที่สาม ปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม

  • ปรับปรุงกฎหมายหลักให้ทันสมัย: เร่งแก้ไขและบังคับใช้กฎหมายสำคัญ 4 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน, พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์, พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ. ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ให้รองรับการปราบปรามอาชญากรรมยุคใหม่

  • ตรากฎหมายคุมการเงินดิจิทัล: ร่าง พ.ร.บ. กำกับบริการการเงินดิจิทัล เพื่อสร้างมาตรฐานการส่งข้อมูลผู้โอน-ผู้รับ (Travel Rule), เพิ่มอำนาจการอายัดสินทรัพย์ดิจิทัลที่รวดเร็ว และรองรับการใช้พยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ในชั้นศาล

  • ยกระดับกลไกตุลาการเฉพาะทาง: จัดตั้ง หน่วยอัยการพิเศษ และ แผนกคดีพิเศษในศาล เพื่อพิจารณาคดีฟอกเงินและอาชญากรรมข้ามชาติโดยเฉพาะ

 

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

แบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ระยะ

ระยะสั้น (ภายใน 1 ปี): “หยุดเลือดไหล – ปิดรูรั่วหลัก”

  • จัดตั้งวอร์รูมระดับชาติ (National Anti-Scam War Room):

    • สร้างศูนย์สั่งการเชื่อมข้อมูลเรียลไทม์ระหว่าง ตำรวจไซเบอร์, DSI, ปปง., ธปท., ก.ล.ต., กสทช., กระทรวงต่างประเทศ (MFA) และอัยการ

    • บังคับใช้มาตรา 8/10 ของ พ.ร.ก. ไซเบอร์ฯ ฉบับที่ 2 อย่างจริงจัง เร่งกฎหมายลูกเพื่อคุ้มครองและชดเชยผู้เสียหายทันที

    • ส่งชุดปฏิบัติการลงพื้นที่จังหวัดชายแดนสำคัญเพื่อจบปัญหาการทำงานล่าช้าหรือการโยนเรื่องระหว่างหน่วยงาน

  • ยกระดับเทคโนโลยีปราบอาชญากรรม:

    • ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ธุรกรรมบล็อกเชน (Blockchain Analytics) เพื่อตามสืบและอายัดคริปโตเคอร์เรนซีที่ถูกโกงไป

    • บังคับให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล (VASP) รายงานธุรกรรมต้องสงสัยอย่างเข้มงวด

  • ระบบ “ตีตรวนบัญชีม้า”:

    • ประสานธนาคารและค่ายมือถือ เพิ่มความเข้มงวดในการเปิดบัญชีหรือซิมใหม่

    • ใช้ระบบอายัดและแจ้งเตือนบัญชีต้องสงสัยแบบเกือบเรียลไทม์ เมื่อพบพฤติกรรมเงินไหลออกต่างประเทศผิดปกติ

  • ช่วยเหลือเหยื่อและปราบทุจริต:

    • ตั้งทีมเฉพาะกิจช่วยคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานค่ายสแกมในประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมสายด่วนติดตามเคสข้ามพรมแดน

  • เอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐ–นักการเมืองที่เกี่ยวข้อง

    • ผนึกกำลัง ป.ป.ช., ป.ป.ท. และ ปปง. สืบเส้นทางเงินเอาผิดนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐที่พัวพันทุนสีเทา พร้อมคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower)

ระยะกลาง (1–3 ปี): “ปรับโครงสร้างกฎหมาย – เครื่องมือรัฐ”

  • อัปเกรดกฎหมายให้เท่าทันโลก:

    • เพิ่มกฎระเบียบการส่งข้อมูลธุรกรรม (Travel Rule) และขยายคำนิยาม "องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ" ให้ครอบคลุมการหลอกลวงออนไลน์

    • แก้ไขกฎหมายค้ามนุษย์ให้ระบุความผิดเรื่อง "การบังคับทำสแกม" ไว้อย่างชัดเจน

  • ยึดทรัพย์เชิงรุกเพื่อเยียวยา:

    • ตั้งทีมผสม (ปปง. + ตำรวจ + สรรพากร + อัยการ) และเพิ่มช่องทางให้ศาลสั่งยึดทรัพย์ชั่วคราวได้รวดเร็วขึ้นก่อนเงินถูกโยกย้าย

    • นำทรัพย์สินที่ยึดมาได้เข้าสู่ "กองทุนชดเชยเหยื่อ" เพื่อคืนเงินให้ผู้เสียหาย

  • สร้างเครือข่ายความมั่นคงระดับภูมิภาค:

    • บริหารจัดการศูนย์ข่าวกรองลุ่มน้ำโขงเพื่อแชร์ข้อมูลเส้นทางเงินและพิกัดค่ายสแกมร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน

  • สร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัล:

    • ทำแคมเปญ “รู้ทันสแกม” ร่วมกับแพลตฟอร์มเอกชน และบรรจุวิชาความฉลาดทางดิจิทัลและการเงิน (Digital & Financial Literacy) ในหลักสูตรการศึกษาและการฝึกอบรมแรงงาน

ระยะยาว (มากกว่า 3 ปี): “ออกแบบสถาปัตยกรรมความมั่นคงใหม่”

  • ยกระดับบทบาทไทยในเวทีโลก:

    • ผลักดันแผนปฏิบัติการอาเซียนและตั้งศูนย์ประสานงานอาชญากรรมไซเบอร์อาเซียนพร้อมฐานข้อมูลอาชญากรร่วมกัน

    • ทำ MOU จัดตั้งชุดสืบสวนร่วม (Joint Investigation Teams) กับประเทศมหาอำนาจด้านเทคโนโลยี ในคดีใหญ่ 

  • ปฏิรูประบบการเงินและยุติธรรม:

    • ตรา พ.ร.บ. บริการการเงินดิจิทัล เพื่อคุมเข้มแพลตฟอร์มการเงินออนไลน์ทุกประเภท

    • พัฒนาระบบ KYC แบบเชื่อมโยงฐานข้อมูลรัฐและธนาคารแบบเรียลไทม์

    • ตั้งแผนกคดีพิเศษในศาลและหน่วยอัยการพิเศษสำหรับคดีฟอกเงิน-สแกม-ค้ามนุษย์ข้ามชาติ พร้อมปรับระเบียบการรับรองพยานหลักฐานดิจิทัลให้รวดเร็วขึ้น

  • กลไกบริหารระดับชาติที่ยั่งยืน:

    • ตั้ง “คณะกรรมการนโยบายการปราบปรามแก๊งสแกมและอาชญากรรมข้ามชาติ” โดยมีนายกฯ หรือรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เป็นประธาน

    • กำหนดให้มีการรายงานความคืบหน้าต่อรัฐสภาสม่ำเสมอ เพื่อให้การปราบทุนสีเทาเป็นวาระแห่งชาติที่ไม่ขึ้นอยู่กับวาระของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง