ปฏิรูปกฎหมายต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว

ยกร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวฉบับใหม่ ปิดช่องโหว่กฎหมาย มุ่งเน้นความปลอดภัยประชาชนเหนือการไกล่เกลี่ย และสร้างมาตรฐานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ระดับสากล

ปฏิรูปกฎหมายต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

สถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวในประเทศไทย ณ ปี 2567 มีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้นอย่างมาก ข้อมูลจากศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) และศูนย์พึ่งได้ (OSCC) ชี้ว่า มีผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวสูงถึง 71% ของทั้งหมด หรือคิดเป็นจำนวน 4,833 ราย และโดยเฉลี่ยพบผู้ถูกกระทำความรุนแรง วันละ 42 ราย รูปแบบความรุนแรงที่เกิดขึ้นสูงสุดคือการทำร้ายร่างกาย คิดเป็น 73% และปัจจัยกระตุ้นหลักคือยาเสพติด นอกจากนี้ ข้อสังเกตสำคัญคือ ผู้กระทำส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (72%) และมีสถานะเป็นสามีหรือพ่อ ซึ่งตอกย้ำถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของอำนาจในครอบครัว ในลักษณะที่ผู้ชายมีอำนาจเหนือกว่า (Patriarchy)

พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 มีช่องว่างและข้อจำกัดที่ไม่สามารถรับมือกับปัญหาที่ซับซ้อนในปัจจุบันได้

  1. นิยามความรุนแรงไม่ครอบคลุม: กฎหมายเดิมขาดการระบุนิยามของ "ความรุนแรงทางการเงิน (Economic Abuse)" และ "การควบคุมบังคับ (Coercive Control)" ซึ่งเป็นพฤติกรรมการใช้อำนาจกดขี่ทางจิตใจอย่างต่อเนื่อง และมักรุนแรงกว่าการทำร้ายทางกาย
  2. เป็นความผิดอันยอมความได้: การที่ความผิดตามกฎหมายเดิมเป็นความผิดอันยอมความได้ อาจนำไปสู่การ กดดันให้ผู้ถูกกระทำ (ซึ่งเป็นคนในครอบครัว)ยอมความ และกลับไปเผชิญความรุนแรงซ้ำอีก
  3. กลไกคุ้มครองทำงานช้าไม่ทันท่วงที: กลไกการออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวมีความล่าช้า และมาตรการคุ้มครองไม่สามารถระงับเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที

เราจะทำอะไร (WHAT)

พรรคประชาชนเสนอการยกร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่มุ่งเน้น ความปลอดภัยของผู้ถูกกระทำเป็นศูนย์กลาง (Victim-Centered) และบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยมีข้อเสนอหลัก 5 ประการ

  1. ขยายนิยามความรุนแรงเชิงอำนาจ: ขยายนิยามความรุนแรง ให้ครอบคลุม "การควบคุมบังคับ (Coercive Control)" และ "ความรุนแรงทางการเงิน (Economic Abuse)" และกำหนดให้การกระทำเหล่านี้เป็นความผิดตามกฎหมายโดยชัดเจน เพื่อจัดการกับรากเหง้าของปัญหาความรุนแรงเชิงอำนาจ
  2. คำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินรวดเร็ว: จัดตั้งระบบ "คำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน (Emergency Protection Order)" ที่รวดเร็วและมีผลทันที โดยให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ (ตำรวจ/พม.) ในการออกคำสั่งเพื่อแยกผู้กระทำออกจากผู้ถูกกระทำในสถานการณ์วิกฤต
  3. จำกัดการยอมความอย่างเข้มงวด: กำหนดให้ความผิดฐานความรุนแรงในครอบครัวที่เข้าข่ายรุนแรง หรือความผิดฐาน การควบคุมบังคับ (Coercive Control) ไม่อาจยอมความได้ เพื่อปิดช่องโหว่ไม่ให้ผู้ถูกกระทำถูกกดดันให้ถอนคำร้องทุกข์
  4. เพิ่มบทลงโทษและลงโทษผู้กระทำผิดซ้ำอย่างเด็ดขาด: กำหนดบทลงโทษที่สูงและชัดเจน และให้มีการ เพิ่มโทษเป็นสองเท่า สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งคุ้มครองหรือผู้กระทำความผิดซ้ำ
  5. กลไกการฟื้นฟูที่บูรณาการ: จัดตั้ง "ศูนย์ประสานงานและรับเรื่องเบ็ดเสร็จ (One-Stop Center)" ในทุกจังหวัด พร้อมคณะทำงานสหวิชาชีพและ "ผู้จัดการรายกรณี (Case Manager)" เพื่อติดตามผล และกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดหา ที่พักพิงฉุกเฉิน (Shelter) ที่ปลอดภัยพร้อมบริการครบวงจรได้ทันทีที่ร้องขอ

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

พรรคประชาชนจะยกร่างโครงสร้างและมาตราหลักของกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ฉบับใหม่ โดยมีสาระสำคัญในการแก้ไขหมวดต่าง ๆ ดังนี้

  1. การขยายนิยามและขอบเขต
    • ในหมวดบททั่วไป (มาตรา 4/มาตรา 3) จะขยายนิยาม "ความรุนแรงในครอบครัว" ให้ครอบคลุม ความรุนแรงทางเพศ, ความรุนแรงทางการเงิน, และ การควบคุมบังคับ อย่างละเอียด
    • ขยายขอบเขตความสัมพันธ์ ให้ครอบคลุม ผู้ที่เคยอยู่กินร่วมกัน
  2. มาตรการคุ้มครองฉุกเฉินและการป้องกัน
    • ในหมวดมาตรการคุ้มครองฉุกเฉินและการป้องกัน (มาตรา 7/มาตรา 9) จะให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ออก "คำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน (Emergency Protection Order)" ได้ทันทีเพื่อระงับเหตุและห้ามผู้กระทำเข้าใกล้ที่พักอาศัย โดยมีผลบังคับใช้ไม่เกิน 72 ชั่วโมง เพื่อนำเรื่องขึ้นสู่ศาลต่อไป
    • เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีอำนาจในการ จับกุมและแยกผู้กระทำ ออกจากผู้ถูกกระทำในสถานการณ์ความรุนแรงทันที โดยไม่ต้องมีการไกล่เกลี่ยก่อน
  3. การดำเนินคดีและการจำกัดการยอมความ
    • ในหมวดการดำเนินคดีและการจำกัดการยอมความ (มาตรา 6) กำหนดให้ความผิดฐานความรุนแรงในครอบครัวที่มีโทษจำคุกเกินหนึ่งปี หรือเป็นความผิดฐานการควบคุมบังคับ (Coercive Control) ให้ถือเป็น ความผิดอันยอมความไม่ได้
    • หากเป็นความผิดที่ยอมความได้ ก็ต้องได้รับ ความเห็นชอบจากศาล โดยพิจารณาถึงความปลอดภัยของผู้ถูกกระทำอย่างแท้จริง
  4. บทลงโทษและมาตรการฟื้นฟู
    • ในหมวดบทลงโทษและการบำบัดฟื้นฟู จะเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงและชัดเจน โดยเฉพาะการกำหนดให้ การควบคุมบังคับ (Coercive Control) เป็นความผิดทางอาญา เมื่อสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อจิตใจหรือเสรีภาพ
    • ผู้ฝ่าฝืนคำสั่งคุ้มครองต้องได้รับโทษจำคุกและปรับที่สูงขึ้น และ เพิ่มโทษเป็นสองเท่า ในกรณีที่เป็นการกระทำผิดซ้ำ
    • ศาลสามารถสั่งให้ผู้กระทำเข้าร่วมโครงการบำบัดฟื้นฟูพฤติกรรม (Batterer Intervention Programs) ที่ได้รับการรับรองอย่างเข้มงวดด้วย

นอกจากมาตรการทางกฎหมายแล้ว ยังมีการกำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ตำรวจ, พม., สาธารณสุข, ศาล) ต้องจัดให้มีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่เป็นประจำในเรื่อง Trauma-Informed Approach เพื่อให้การทำงานและการสอบสวนคดีเป็นไปอย่างเข้าใจผลกระทบทางจิตใจของผู้ถูกกระทำ