การปฏิรูปวิชาชีพทนายความเป็นความจำเป็นเร่งด่วน เนื่องจากกฎหมายหลักที่ใช้กำกับดูแลวิชาชีพคือ พระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 ไม่ได้มีการแก้ไขให้สอดคล้องกับยุคสมัยมาเกือบ 40 ปี โดยในปัจจุบัน ปัญหาหลักที่วิชาชีพทนายความไทยกำลังเผชิญมี 3 ด้านคือ
รัฐบาลจะส่งเสริมให้นักกฎหมายและสำนักงานกฎหมาย ให้บริการทางกฎหมายแก่ประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ครอบคลุมทั้งการให้คำปรึกษา การระงับข้อพิพาท (ทั้งในศาลและวิธีการทางเลือก) การดำเนินคดี และการบังคับคดี โดยไม่จำกัดว่าเป็นฝ่ายโจทก์ จำเลย ผู้กล่าวหา หรือผู้ถูกกล่าวหา
สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขตอบแทน
1. สำหรับทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมาย (ส่วนบุคคล)
เงื่อนไข: ต้องให้บริการ Pro Bono ตามจำนวนชั่วโมงที่กำหนดต่อปี
สิ่งที่จะได้รับ: สามารถนำค่าบริการดังกล่าวมาใช้เป็น "ค่าลดหย่อนภาษีเงินได้"
2. สำหรับนิติบุคคล (สำนักงานกฎหมาย)
เงื่อนไข: ให้บริการ Pro Bono ตามเกณฑ์ชั่วโมงที่กำหนด (สัดส่วนตามจำนวนลูกจ้างในสำนักงาน)
สิ่งที่จะได้รับ: สิทธิประโยชน์ทางภาษีในลักษณะเดียวกับทนายความบุคคลธรรมดา
3. สิทธิในการเป็นคู่สัญญากับภาครัฐ
เงื่อนไขสำคัญ: นักกฎหมายหรือสำนักงานกฎหมาย ต้องมีจำนวนชั่วโมง Pro Bono ขั้นต่ำ ตามที่กำหนด
สิ่งที่จะได้รับ: มีสิทธิเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐ เพื่อเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายหรือช่วยรัฐดำเนินคดี
จัดทำระบบบริหารจัดการ: กระทรวงยุติธรรม และ/หรือ สภาทนายความ จะร่วมกันสร้างระบบลงทะเบียน ระบบบันทึกชั่วโมงการทำงาน (Pro Bono) ระบบประเมินความพึงพอใจ และระบบตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
ปรับปรุงกฎหมายภาษี: แก้ไขปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 774) พ.ศ. 2566 เพื่อรองรับการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ "นิติบุคคล" ให้สอดคล้องกับเงื่อนไขใหม่
กำชับแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่สรรพากร: กรมสรรพากรจะสื่อสารไปยังสำนักงานสรรพากรทุกพื้นที่ เพื่อให้ข้อมูลและกำชับเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติตามกฎหมายภาษีฉบับปรับปรุงใหม่ได้อย่างถูกต้อง
กำหนดเงื่อนไขการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ: คณะรัฐมนตรีจะมีมติให้หน่วยงานรัฐสามารถว่าจ้างนักกฎหมายหรือสำนักงานกฎหมายได้ "เฉพาะ" ผู้ที่ให้บริการ Pro Bono ตามเกณฑ์ที่กำหนดเท่านั้น