หยุดงบประมาณรั่วไหล: สร้างวินัยการคลังที่เข้มแข็ง

ล้างระบบจัดสรรงบแบบเดิม เปลี่ยนเป็นฐานศูนย์เริ่มจากความจำเป็นจริง บังคับใช้หลักความคุ้มค่า เพิ่มงบอุดหนุนทั่วไปให้หน่วยงานทำงานคล่องตัว และเน้นผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน

หยุดงบประมาณรั่วไหล: สร้างวินัยการคลังที่เข้มแข็ง

ทำไมต้องแก้ปัญหา WHY)

งบประมาณแผ่นดินคือหัวใจของการพัฒนาประเทศ หากระบบงบประมาณมีปัญหา รัฐบาลก็ไม่สามารถผลักดันนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบงบประมาณของไทยในปัจจุบันมีข้อจำกัดที่ทำให้รัฐบาลใช้จ่ายเงินได้อย่างไม่เต็มที่ และเพิ่มความเสี่ยงทางการคลัง 5 ประการหลัก:

1. งบประมาณกระจัดกระจาย (Fragmented Budget): ระบบปัจจุบันไม่ได้นับรวมเงิน "นอกงบประมาณ"  (เช่น เงินกองทุนหมุนเวียน, รายได้ท้องถิ่น, รัฐวิสาหกิจ) อย่างครบถ้วน ทำให้เราไม่สามารถมองเห็น "สุขภาพการคลัง" ของประเทศทั้งหมดได้อย่างแท้จริง

2. วินัยการคลังอ่อนแอ (Weak Fiscal Discipline): กลไกกำกับดูแลการเงินการคลังไม่เข้มแข็งพอ ทำให้รัฐมีการใช้จ่ายเกินตัวจนหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐสภาก็มีอำนาจจำกัดในการควบคุมรายจ่ายประจำและค่าใช้จ่ายตามข้อผูกพันที่มีสัดส่วนสูง ทำให้โครงสร้างงบประมาณแข็งตัวต่อการปรับเปลี่ยน

3. จัดสรรแบบฐานอดีต (Incrementalism): การจัดทำงบประมาณส่วนใหญ่มักเป็นการปรับเพิ่ม/ลดเพียงเล็กน้อยจากปีที่แล้ว ทำให้ขาดความยืดหยุ่นในการตอบสนองสถานการณ์ใหม่ ๆ และมีพื้นที่ว่างทางการคลัง (Fiscal Space) จำกัดสำหรับการริเริ่มนโยบายใหม่ที่จำเป็น

4. ใช้จ่ายขาดประสิทธิภาพ (Inefficiency): ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของหน่วยงานราชการขาดความท้าทาย และเน้นที่การทำตามขั้นตอนมากกว่าผลลัพธ์จริง อีกทั้งยังประสบปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า

5. ธรรมาภิบาลอ่อนแอ/ไม่โปร่งใส (Weak Governance): รัฐยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน และอยู่ในรูปแบบ Open Data (ไฟล์ที่นำไปประมวลผลต่อได้) ทำให้ประชาชนและภาควิชาการตรวจสอบและติดตามการใช้งบประมาณได้อย่างยากลำบาก

เราจะทำอะไร (WHAT)

เพื่อแก้ไขข้อจำกัดเหล่านี้ พรรคประชาชนเสนอแนวทางการปฏิรูปเพื่อสร้างความยั่งยืนทางการคลัง ความโปร่งใส และประสิทธิภาพ 5 ข้อ:

1. จัดทำงบประมาณแบบรวมยอด (Consolidated Budget):

  • บังคับให้นำเงินนอกงบประมาณทั้งหมด (รวมสถานะหนี้และภาระทางการคลังอื่น ๆ) เข้าสู่กระบวนการจัดทำงบประมาณและต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้เห็นภาพรวมทางการคลังทั้งหมด

2. เพิ่มศักยภาพกลไกกำกับวินัยการคลังให้เข้มแข็ง

• ให้รัฐสภามีอำนาจพิจารณาแผนงบประมาณรายได้-รายจ่าย และการก่อหนี้สาธารณะทั้งหมดตั้งแต่ขั้นต้น (Pre-budget Statement) ก่อนการจัดทำงบประมาณในรายละเอียด

• พิจารณาเพิ่มกฎการคลังที่รัดกุม เช่น กำหนดเพดานอัตราภาระการชำระดอกเบี้ยต่อรายได้สุทธิของรัฐ

3. เปลี่ยนไปจัดสรรงบประมาณแบบฐานศูนย์ (Zero-based Budgeting)

• เปลี่ยนแนวคิดการจัดสรรงบประมาณเป็นการ "คิดใหม่ ทำใหม่" (Top Down Budgeting) โดยคณะรัฐมนตรีกำหนดกรอบวงเงินสูงสุดสำหรับแต่ละยุทธศาสตร์ตั้งแต่ต้น

• ปรับหลักเกณฑ์การคัดกรองคำของบประมาณให้ยึดโยงกับหลัก ความคุ้มค่า (Value for Money) อย่างแท้จริง

4. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย

• ปรับปรุงตัวชี้วัดผลการดำเนินงานให้สะท้อนผลลัพธ์ที่จับต้องได้

• ปรับหลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างให้ยืดหยุ่นและคล่องตัว

• พิจารณาจัดสรรงบประมาณในรูปแบบ เงินอุดหนุนทั่วไป (Block Grant) ให้มากขึ้นสำหรับหน่วยงานที่ต้องการความคล่องตัวในการบริหารจัดการ

5. สร้างระบบธรรมาภิบาลที่โปร่งใสตรวจสอบได้

• เปิดเผยข้อมูลการจัดทำงบประมาณอย่างครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน ในรูปแบบ Open Data (เช่น ไฟล์ Excel ที่คอมพิวเตอร์ประมวลผลได้)

• เปิดช่องทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในการติดตาม วิเคราะห์ และตรวจสอบงบประมาณอย่างมีความหมาย

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

การปฏิรูปนี้ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับกฎหมายและโครงสร้างองค์กร ดังนี้

1. การแก้ไขกฎหมายสำคัญ

• แก้ไข พ.ร.บ. วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561: เพื่อกำหนดให้เกิดการจัดทำงบประมาณแบบรวมยอด (Consolidated Budget), กำหนดกลไก "แผนงบประมาณประจำปี" (Pre-budget Statement) และเพิ่มความโปร่งใสของข้อมูล

• แก้ไข พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ **สำคัญ**: เพื่อปรับองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลัง และทบทวนการกำหนดสัดส่วนงบลงทุนขั้นต่ำร้อยละ 20 เพื่อให้การกำหนดงบประมาณรายจ่ายมาจากโครงการที่จำเป็นจริงๆ

• ทบทวนงบประมาณหลายเส้นทาง: พิจารณายกเลิกแนวทางการจัดทำงบประมาณที่ซ้ำซ้อน เช่น งบจังหวัด/กลุ่มจังหวัด, งบ Flagship และงบบูรณาการ 

2. การจัดตั้งองค์กรตรวจสอบ

• จัดทำ พ.ร.บ. ว่าด้วยสำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO): เพื่อให้ PBO มีอำนาจหน้าที่ในการศึกษาวิเคราะห์และเข้าถึงข้อมูลเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารได้อย่างเต็มศักยภาพ

3. มาตรการระยะสั้น (ในระหว่างที่กฎหมายยังไม่แล้วเสร็จ):

• รัฐบาลและสำนักงบประมาณควรนำข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ไปปฏิบัติทันที โดยเฉพาะการจัดส่งข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นระบบเกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณ รายได้สาธารณะ หนี้สาธารณะ และภาระทางการคลังอื่นต่อรัฐสภา

• ควรกำหนดกรอบงบประมาณรายจ่ายขั้นสูงของแต่ละกระทรวง เพื่อเริ่มต้นใช้แนวคิด Top Down Budgeting โดยไม่รอการแก้ไขกฎหมายเสร็จสิ้น