ระบบราชการคือกระดูกสันหลังของการบริหารประเทศ แต่ในปัจจุบัน โครงสร้างที่ออกแบบมานานหลายทศวรรษเริ่มกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด เพื่อเปลี่ยนภาครัฐที่ "อุ้ยอ้ายและล่าช้า" ให้กลายเป็นกลไกที่ "คล่องตัวและตอบโจทย์" ความต้องการของประชาชนในยุคดิจิทัล
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “กับดักเชิงโครงสร้าง” 4 ประการ ที่ทำให้ระบบราชการไม่สามารถขับเคลื่อนประเทศได้อย่างเต็มศักยภาพ:
1. โครงสร้างล้าสมัย ตามไม่ทันเศรษฐกิจยุคใหม่: ปัจจุบันประเทศไทยมีหน่วยงานระดับกระทรวงกว่า 20 กระทรวง และระดับกรมกว่า 800 หน่วยงาน การมีหน่วยงานจำนวนมากทำให้เกิดภารกิจที่ทับซ้อนกัน ขาดเอกภาพในการสั่งการ และสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ ส่งผลให้การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน เช่น การจัดการน้ำ หรือสิ่งแวดล้อม ทำได้ยากเพราะติดขัดเรื่องอำนาจหน้าที่ระหว่างหน่วยงาน
2. กฎระเบียบจำนวนมากซ้ำซ้อน ใช้ทรัพยากรไม่คุ้มค่า: เรามีกฎหมาย ระเบียบ และใบอนุญาตนับแสนฉบับที่บังคับใช้มาอย่างยาวนาน บางส่วนประกาศใช้เมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ และไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีปัจจุบัน ทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระในการเดินเอกสาร ในขณะที่ข้าราชการเองก็หมดเวลาไปกับงานเอกสารมากกว่าการทำงานเชิงนโยบาย ผลคือภาครัฐทำงานหนัก แต่ไม่เกิดผลคุ้มค่าต่อประชาชนเท่าที่ควร
3. อำนาจรวมศูนย์เกินไป การให้บริการช้าและไม่ยืดหยุ่น: การตัดสินใจเรื่องสำคัญมักกระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลาง ทั้งที่ปัญหาหลายอย่างเป็นเรื่องเฉพาะพื้นที่ เช่น การอนุญาตโรงงานขนาดเล็ก หรือการจัดการสาธารณูปโภคในชุมชน การต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง ทำให้ตัดสินใจล่าช้า ไม่ตอบโจทย์ และไม่สอดคล้องกับพื้นที่
4. การประเมินผลงานไม่เชื่อมโยงกับประชาชน: ระบบประเมินผลงานปัจจุบันเน้นการ "ทำตามขั้นตอน" มากกว่า "ผลลัพธ์ที่ประชาชนได้รับ" เช่น ลดเวลาการอนุญาต ลดค่าใช้จ่ายประชาชน หรือความพึงพอใจของบริการ ทำให้การทำงานเชิงนวัตกรรมเกิดขึ้นยาก เพราะระบบแรงจูงใจไม่สนับสนุน
ผ่าตัดโครงสร้าง: ปรับโครงสร้างราชการ ควบรวมหน่วยงานซ้ำซ้อน
ทบทวนภารกิจของหน่วยงานรัฐทั้งหมด เพื่อยุบรวมหน่วยงานที่มีหน้าที่ทับซ้อนกัน
เพิ่มบทบาทสำนักงานปลัดกระทรวง ยกระดับให้เป็น "สมอง" ของกระทรวง มีหน้าที่กำหนดนโยบาย เสนอกรอบงบประมาณ และกำกับติดตามหน่วยงานในกระทรวงให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน
จัดระเบียบรูปแบบองค์กรของรัฐทั้งหมดใหม่ แบ่งบทบาทหน่วยงานให้ชัดเจน ได้แก่
(1) องค์กรกำกับดูแล และกำหนดนโยบาย (Regulator & Policy Maker) - หน่วยงานรัฐ
(2) หน่วยงานส่งเสริม (Promoter) - องค์การมหาชน
(3) หน่วยงานให้บริการ (Service Provider) - รัฐวิสาหกิจ
ปรับบทบาทหน่วยงานส่วนภูมิภาคบางส่วนให้เป็นหน่วยงานตรวจสอบมาตรฐานบริการสาธารณะของท้องถิ่น
ปรับปรุงระบบประเมินผลงานที่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์จริงของประชาชน เปลี่ยนตัวชี้วัดจากจำนวนโครงการ เป็น "คุณภาพชีวิตของประชาชน" เช่น ระยะเวลารอคอยบริการ ต้นทุนที่ลดลง ความพึงพอใจของประชาชน และดัชนีชี้วัดการลดคอร์รัปชัน
1. มอบหมายรัฐมนตรีทบทวนภารกิจทุกกระทรวง
2. แก้ พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และ พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม
3. รวมศูนย์ตัวชี้วัดชุดเดียวกัน
4. สร้างระบบติดตามความก้าวหน้าแบบโปร่งใส ให้ประชาชนตรวจสอบได้ ด้วยการมีข้อมูลเปิด (Open Data) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดดุลพินิจและเพิ่มความน่าเชื่อถือ โดยข้อมูลที่ต้องเปิดเผยรวมถึง
เปิดเผยรายชื่อกฎที่ถูกยกเลิก / ปรับปรุง
รายงานความคืบหน้าของเป้าหมายทางนโยบาย ผ่านเว็บไซต์กลาง
ประชาชน สื่อ และภาคธุรกิจสามารถให้ความเห็นต่อร่างกฎหมายได้
5. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่บริการประชาชน
สร้างระบบให้รางวัลแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่ “พร้อมให้บริการประชาชน” มากกว่าเป็นผู้ที่ “ควบคุมตามกฎระเบียบ” ผ่าน
การอบรมเกี่ยวกับการบริการสาธารณะ
ระบบแรงจูงใจ เช่น ประเมินผลงานจากผลลัพธ์
การยกย่องทีมที่ปรับปรุงบริการได้จริง
6. ทำงานร่วมกับท้องถิ่น ภาคธุรกิจ และประชาชน
การปฏิรูปจะสำเร็จได้เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมคิดและร่วมทำ เช่น
SMEs ช่วยระบุขั้นตอนที่เป็นภาระ
ท้องถิ่นเสนอวิธีบริการสาธารณะให้เหมาะกับพื้นที่
ภาคประชาสังคมช่วยตรวจสอบความโปร่งใส